วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
แพทเทอร์นกราฟที่เกิดบ่อย โดย ลุงโฉลก
แพทเทอร์นกราฟที่เกิดบ่อย โดย ลุงโฉลก
http://group.wunjun.com/jomjonejadet/topic/439659-14695
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558
Day Trade 26-6-58
วันนี้ Daytrade 5 ตัว ด้วยวิธีการ
1. ดู ticker ตัวไหนวิ่ง
2. เช็คกราฟ ดูเทรน แนวรับ-ต้าน TF-D, 60, 3
3. Bid Offer ซ้ายขวาเป็นอย่างไง ใครเยอะกว่ากัน เท่ากัน และมีมากน้อยขนาดไหนในแต่ละช่อง
4. ราคา ณ ปัจจุบัน อยู่ตรงไหน ย่อลงมาหรืออยู่ high (หลักวอลูมปูด อ.ฮิม) แนวรับหรือแนวต้าน
5. แรง ณ ตอนนั้นเป็นอย่างไง กำลังไล่ซื้อหรือกำลังเทขาย
6. ถ้าแรงไล่ซื้อ พร้อมเบรคแนวต้านยิ่งดี ใช้ TF 5 หรือ 3 ประกอบ
7. ยิ่งแท่งที่เบรค มี vol มาช่วยยกยิ่งดี และถ้าเจอในขณะที่ ssto อยู่ OVS ยิ่งดี
8. ใจล้วนๆซัดเลย
9. SL 3 ช่อง ไม่เกินนี้
10. จังหวะขาย แนวต้าน แต่ระหว่างเทรดดูไม่ทันใช้หลักแบ่งไม้ขายที่ราคาที่วิ่งขึ้นไปแล้วหยุดรออะไรสักอย่าง
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558
Elliott Wave Theory
- Elliott Wave Theory
Warrant
http://pantip.com/topic/32407356
วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ข้อผิดพลาดในการเทรด 23-6-58
ข้อผิดพลาดในการเทรด 23-6-58
ABC-W1
1. ถึงจุด stop loss ไม่ยอม stop ปล่อยไหลไปเรื่อยๆ : ขาดความเด็ดขาดในการตัดสินใจ
จังหวะเข้า: เข้าจังหวะลากและเห็นแรงซื้อเยอะ ราคา 1.43 โดยตั้ง sl 1.40
UPA-W
1. กลัวกำไรหาย รีบขาย โดยไม่ได้เช็คเป้า สุดท้ายจากทุน 1.66 ไปขายหมด 2 บาท แต่หุ้นวิ่งไป 2.20
- Fibo , แรงซื้อขาย, กระแสข่าวช่วงนั้นๆ, ไม่รอแท่งเทียนกลับตัว
2. ไม่ดู Indicator เลย ทั้งๆที่ปกติจะดู สาเหตุหลักคือความโลภ
- ต้องอยู่กับตลาด ไม่ใช่ที่ผลกำไรขาดทุนและอารมณ์ ตลาดจะบอกเองว่าจะให้กำไรเท่าไหร่หรือขาดทุนเท่าไหร่
รับปิดตลาด
1. NPP
สาเหตุที่เข้า : วอรูมเข้าเป็นแท่งแรกและราคาปิด h แถมปิดกระโดด ก่อนปิด 1.96 ปิด 2
2. UPA-w1
สาเหตุที่เข้า : ราคาปิดเกือบ h และพึ่งเล่นเป็นวันแรก แถมตัวแม่ก่อนปิดตลาด ทำตัวจะปิด h แต่ปิดจริงโดนกด
ราคาก่อนปิด. ราคาปิด
UPA. 2.96. 2.92
NPP. 1.96. 2.00 กลางคืนมีข่าวออกมาบอกว่าเรื่อง take ovee FVC ไม่จริง รอดูเช้า
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558
Day Trade - Kiat 16/6/58
บทสรุปวันนี้ โดน Kiat แม่ลูกเลย เมื่อวานปิดสวย วันนี้เปิดโดดไม่มาก ATO ไปเลย ทั้งแม่-ลูก....
อ้าวเฮ้ย....โดนหลอก กดซึ่มไปเรื่อย
เมื่อผิดทางก็ต้องคัส (การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน)
เมื่อผิดทางก็ต้องคัส (การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน)
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558
Day trade - BKD-W1 15/6/58
บทสรุปการเทรดวันนี้
1. SL เอาเข้าจริงๆ มันยากมากนะที่จะคัสตามแผน วินัยต้องดีจริงๆ .....ฝึกอีกเยอะ เพราะวันนี้ยังเลื่อน SL อีกตะหาก
2. เวลาซื้อ ตัดสินใจเร็วมาก ไม่ดูให้รอบครอบ
3. การยกกรอบของราคา Vol คือองค์ประกอบที่สำคัญ
4. จะเยอะหรือน้อย ยังไงก็ลำไย ดีกว่าขาดทุน
สุดท้าย...รอ คือกลยุทธ์ที่สำคัญจริงๆ
1. SL เอาเข้าจริงๆ มันยากมากนะที่จะคัสตามแผน วินัยต้องดีจริงๆ .....ฝึกอีกเยอะ เพราะวันนี้ยังเลื่อน SL อีกตะหาก
2. เวลาซื้อ ตัดสินใจเร็วมาก ไม่ดูให้รอบครอบ
3. การยกกรอบของราคา Vol คือองค์ประกอบที่สำคัญ
4. จะเยอะหรือน้อย ยังไงก็ลำไย ดีกว่าขาดทุน
สุดท้าย...รอ คือกลยุทธ์ที่สำคัญจริงๆ
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ระยะหุ้น
ระยะหุ้น แบ่งเป้น 4 ระยะ คือ
1 ระยะเปลี่ยนกรอบการเล่น ซึ่บจะเกิด spread เขียวยาวมาก volume เยอะมาก
2 ระยะพักตัว จะเกิดกราฟ spread แคบลง และราคาลดลงเล็กน้อย ระยะนี้ จะกินเวลานานแค่ไหนไม่รู้ แต่ spread จะแคบลงเรื่อยๆ volume จะน้อยลงเรื่อยๆ
3 เมื่อแรงขายหมดตอนพักตัว รายใหย่จะเข้าทำการไล่ราคาอีกครั้ง โดยจะเกิดเป้นรูปกราฟที่spread กว้างขึ้น และ volume มากขึ้น เป็นสันยานการพักเสร็จ จุดนี้เราจะเข้าซื้อหุ้น
4 ระยะไปต่อ คือ ราคาจะทะลุกรอบบนสุด วิ่งต่อไปสร้างกรอบใหม่
หลัวจากนี้ 4 ก็จะเข้า ระยะ 2 ต่อไปอีก และไป 3 4 ดังนั้น จะเป็น 1 2 3 4 2 3 4 2 3 4 ไปเรื่อยๆ
ความแตกต่างระหว่าง ross hook กับ lizard มีดังนี้
1 ระยะที่เกิดของ ross hook จะเกิดระยะขึ้นใหม่ๆ ส่วน lizard จะเกิดตอนขึ้นถึงเป้าหมายแล้วและจะเลิกเล่น.
2 volumeที่เกิด ross hook จะน้อยกว่า
3 spread ross hook จะแคบกว่า
ลักษณะกราฟของทั้งคู่จะเหมือนกัน แต่ lizard จะตัวยาวกกว่า
ภาพ lizard ของ tcmc
คำถาม : อาจารย์คะ แล้วแท่งแดงยาวที่เหมือนธูปวันที่ 15/12/57 จะถือว่าเป็น lizard ได้มั้ยคะ
ตอบ : tcmc 15/12/57 ไม่ถือคับ เพราะไส้ไม่ยาวเลย
เอาระยะหุ้นมาทบทวนค่ะ หลังตลาดปิดช่วยกันหาหุ้นเข้าlist เพื่อเตรียมไว้เล่นในวันต่อไปค่ะ
ระยะหุ้น
1 คือ break เป็นขาขึ้น
2 คือพักตัว
3 พักตัวเสร็จ
4 ไปต่อ
กราฟแสดงการพักเสร็จ คือ
1 volume เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า
2 มีราคาปิดเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า
ขอเน้นนะคับ ข้อ 2
กราฟแดงหมายถึง ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิดแต่ข้อ2หมายถึง ราคาปิดสูงกว่าวันก่อนหน้า ดังนั้น กราฟวันพักเสร็จไม่ได้ดูว่าแดงเขียว แต่ดูว่า
มันสูงกว่าวันก่อนหน้า แสดงว่าแรงซื้อชนะ
แต่ถ้าราคาปิดของวันสูงกว่า high ของวันก่อนหน้าจะถือว่าพักเสร็จทันที ถึงแม้ volume ไม่มากกว่าวันก่อนหน้าคับ
สมมตนะคับวันก่อนหน้ามีราคา high 12 บาท volume 10 ล้านหุ้น วันต่อมาราคาปิด 12.20 volume 8 ล้านก็ถือว่าพักเสร็จแล้วคับ
เพราะแนวต้านย่อย 12 บาทถูกทำลาย แรงซื้อชนะโดยใช้ volume น้อยลงด้วยซ้ำ
หลังจากหุ้น break ด้วยตัวเขียวยาว volume เยอะ หลังจากนั้น หุ้นจะพักตัวด้วย volume ที่น้อยลงเรื่อยๆ spread ก็จะสั้นลงเรื่อยๆส่วนใหญ่ spread จะแดงนิดๆตอนแรก เมื่อไหร่ก็ตามที่มี volume เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าและมี spread เขียว แสดงว่าแรงซื้อชนะและมีแรงมากขึ้น
แสดงว่า หุ้นพักตัวเสร็จสิ้นแล้ว สังเกต volume คับจะเพิ่มขึ้น ตอนพักตัว volume จะน้อยลงเรื่อยๆ วันไหน ที่ volume เพิ่มขึ้นแสดงว่า น่าจะพักตัวเสร็จแล้ว
/////////////// ข้อนี้คือความหมายของ ....ระยะ3...
1 ระยะเปลี่ยนกรอบการเล่น ซึ่บจะเกิด spread เขียวยาวมาก volume เยอะมาก
2 ระยะพักตัว จะเกิดกราฟ spread แคบลง และราคาลดลงเล็กน้อย ระยะนี้ จะกินเวลานานแค่ไหนไม่รู้ แต่ spread จะแคบลงเรื่อยๆ volume จะน้อยลงเรื่อยๆ
3 เมื่อแรงขายหมดตอนพักตัว รายใหย่จะเข้าทำการไล่ราคาอีกครั้ง โดยจะเกิดเป้นรูปกราฟที่spread กว้างขึ้น และ volume มากขึ้น เป็นสันยานการพักเสร็จ จุดนี้เราจะเข้าซื้อหุ้น
4 ระยะไปต่อ คือ ราคาจะทะลุกรอบบนสุด วิ่งต่อไปสร้างกรอบใหม่
หลัวจากนี้ 4 ก็จะเข้า ระยะ 2 ต่อไปอีก และไป 3 4 ดังนั้น จะเป็น 1 2 3 4 2 3 4 2 3 4 ไปเรื่อยๆ
ความแตกต่างระหว่าง ross hook กับ lizard มีดังนี้
1 ระยะที่เกิดของ ross hook จะเกิดระยะขึ้นใหม่ๆ ส่วน lizard จะเกิดตอนขึ้นถึงเป้าหมายแล้วและจะเลิกเล่น.
2 volumeที่เกิด ross hook จะน้อยกว่า
3 spread ross hook จะแคบกว่า
ลักษณะกราฟของทั้งคู่จะเหมือนกัน แต่ lizard จะตัวยาวกกว่า
ภาพ lizard ของ tcmc
คำถาม : อาจารย์คะ แล้วแท่งแดงยาวที่เหมือนธูปวันที่ 15/12/57 จะถือว่าเป็น lizard ได้มั้ยคะ
ตอบ : tcmc 15/12/57 ไม่ถือคับ เพราะไส้ไม่ยาวเลย
เอาระยะหุ้นมาทบทวนค่ะ หลังตลาดปิดช่วยกันหาหุ้นเข้าlist เพื่อเตรียมไว้เล่นในวันต่อไปค่ะ
ระยะหุ้น
1 คือ break เป็นขาขึ้น
2 คือพักตัว
3 พักตัวเสร็จ
4 ไปต่อ
กราฟแสดงการพักเสร็จ คือ
1 volume เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า
2 มีราคาปิดเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า
ขอเน้นนะคับ ข้อ 2
กราฟแดงหมายถึง ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิดแต่ข้อ2หมายถึง ราคาปิดสูงกว่าวันก่อนหน้า ดังนั้น กราฟวันพักเสร็จไม่ได้ดูว่าแดงเขียว แต่ดูว่า
มันสูงกว่าวันก่อนหน้า แสดงว่าแรงซื้อชนะ
แต่ถ้าราคาปิดของวันสูงกว่า high ของวันก่อนหน้าจะถือว่าพักเสร็จทันที ถึงแม้ volume ไม่มากกว่าวันก่อนหน้าคับ
สมมตนะคับวันก่อนหน้ามีราคา high 12 บาท volume 10 ล้านหุ้น วันต่อมาราคาปิด 12.20 volume 8 ล้านก็ถือว่าพักเสร็จแล้วคับ
เพราะแนวต้านย่อย 12 บาทถูกทำลาย แรงซื้อชนะโดยใช้ volume น้อยลงด้วยซ้ำ
หลังจากหุ้น break ด้วยตัวเขียวยาว volume เยอะ หลังจากนั้น หุ้นจะพักตัวด้วย volume ที่น้อยลงเรื่อยๆ spread ก็จะสั้นลงเรื่อยๆส่วนใหญ่ spread จะแดงนิดๆตอนแรก เมื่อไหร่ก็ตามที่มี volume เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าและมี spread เขียว แสดงว่าแรงซื้อชนะและมีแรงมากขึ้น
แสดงว่า หุ้นพักตัวเสร็จสิ้นแล้ว สังเกต volume คับจะเพิ่มขึ้น ตอนพักตัว volume จะน้อยลงเรื่อยๆ วันไหน ที่ volume เพิ่มขึ้นแสดงว่า น่าจะพักตัวเสร็จแล้ว
/////////////// ข้อนี้คือความหมายของ ....ระยะ3...
วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558
Day trade - CWT 3/6/58
Day trade - CWT 3/6/58
ที่เล่นตัวนี้ เพราะเห็น Ticker วิ่งเป็นทาง เลยเข้าไปดูกราฟ เจอว่า ยืนแนวต้านได้และมีแรงซื้อเพียบ
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
บทสรุป Day Trade
บทสรุป Day Trade 19/5/2015
1. Day trade ไม่จำเป็นต้องจบในวัน หากกราฟยังทรงสวย
2. แม้ว่ากราฟจะทรงสวยเท่าไหร่ ถ้าไม่มีเงินจ่ายก็ต้องจบ....เงิบ
3. การยกของราคา ต้องมี Vol support
4. แผนการเทรด ไม่ว่าจะเป็นจุด Stop Loss หรือจุดขายทำกำไร ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
5. ขายแล้ววิ่งต่อ....ช่างมัน เพราะคุณได้ทำตามแผนที่คุณวางไว้แล้ว
6. การรอคอยเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบางทีกว่าจะวิ่งก็ต้องรอมาตั้งแต่เปิดตลาด จนถึง 4 โมงเย็นถึงมา...จ้าวรอฤกษ์
7. การเข้า ATO ถ้าให้ดี ควรจบเกมส์ภายใน 10 โมงครึ่ง หรือการวิ่งครั้งแรก ไม่งั้นต้องรอ
8. ช่วงตลาดวิ่ง
ช่วงที่ 1 10:00 - 10:30
ช่วงที่ 2 12:00 - 12:30
ช่วงที่ 3 14:30 - 15:00
ช่วงที่ 4 16:00 - 16:30
9. ช่วงตลาดไม่วิ่ง คือ ช่วงเวลาที่ควรซื้อ
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
หา Fair Value ,Target Price มูลค่าพื้นฐาน และราคาเป้าหมายของหุ้นแต่ละตัว
Fair Value ,Target Price มูลค่าพื้นฐาน และราคาเป้าหมายของหุ้นแต่ละตัว
Fair Value, Target Price, มูลค่าพื้นฐาน ทั้งหมด คือสิ่งเดียวกัน ... ในที่นี้จะขอเรียกว่า Target Price นะครับ
Target Price หาได้ 2 แบบใหญ่
1. Relative approach หรือ Market multiples Approach (เทียบความถูกแพงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน)
1.1 Price to Book Value --> เอา Book Value ของบริษัทที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต 12 เดือนข้างหน้า คูณกับ Price to Book Value Ratio (P/BV ratio) ของอุตสาหกรรมเดียวกัน ประมาณว่า โดยทฤษฏีแล้ว ความถูกแพงในระยะยาวของหุ้นแต่ละตัวจะปรับเข้าสู่ตัวเลขใกล้ ๆ กัน คือ ควรจะมี P/BV ใกล้ ๆ กันทั้งอุตสาหกรรม
1.2 Price to Earning --> เอากำไรต่อหุ้น (Earning per share) ของบริษัที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต 12 เดือนข้างหน้า คูณกับ Price to Earning Ratio (P/E Ratio) ของอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยอิงหลักการเหมือน P/BV
คูณกันแล้วได้ค่าออกมาเท่าไร ก็คือ Target Price ที่ได้จากวิธี Relative Approach
2. Discount Cash Flow Approach (คิดลดกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคต)
2.1 Dividend Discount เอาประมาณการเงินปันผลที่ผู้ลงทุนจะได้รับในอนาคต (สูตรคณิตศาสตร์สามารถคำนวณ cash flow ที่ไม่รู้จบให้มาเป็นก้อนนิ่ง ๆ ได้) มาคิดเป็นมูลค่าในวันนี้
2.2 Free Cash Flow Discount เอาประมาณการกระแสเงินสดสุทธิที่เจ้าของกิจการจะได้รับในอนาคต มาคิดเป็นมูลค่าในวันนี้
เจ้าก้อนของมูลค่าในวันนี้ ก็คือ Target Price ที่ได้จากวิธี Discount Cash Flow Approach
ในการพิจารณา Target Price ต้องทำหลาย ๆ วิธี และดู Range ของตัวเลขที่คำนวณได้ ไม่ใช่การคำนวณออกมาค่าเดียวแล้วฝังใจใช้ไปเลย เพราะอนาคตไม่แน่นอน แต่ก็จะมีช่วงราคาที่มันเป็นไปได้อยู่ช่วงหนึ่ง ไม่ใช่จุดใดจุดเดียว ในการตัดสินใจลงทุน ก็ดูว่า ราคาตลาดในปัจจุบัน มันอยู่แถว ๆ ไหน เมื่อเทียบกับช่วงที่คำนวณได้นั้น เช่น ตอนนี้ราคา 50 บาท แต่คำนวณช่วงราคาที่ควรเป็นได้ประมาณ 70-90 บาท แบบนี้ถือว่าน่าสนใจ เพราะขอบล่าง สูงกว่าราคาปัจจุบัน แต่ราคาคำนวณได้ที่ 45-60 บาท แบบนี้ก็น่าสนใจน้อยลงมา เพราะก้ำกึ่ง
ทั้งนี้ เราสามารถศึกษาการวิเคราะห์หา Target Price หรือ Fair Price เพิ่มเติมได้จาก
1. Research Paper ของค่ายต่าง ๆ ที่เปิดเผยไว้ใน settrade.com หน้า IAA Consensus
อย่างในรูปเป็นตัวอย่างของหุ้น SCB ซึ่งอย่างค่าย Trinity (เปิดดูไฟล์ PDF) เขาใช้วิธีง่ายหน่อย คือ เทียบกับ P/BV
(http://www.settrade.com/AnalystConsensus/C04_10_stock_saa_p1.jsp?selectPage=10&txtSymbol=SCB)
Target Price หาได้ 2 แบบใหญ่
1. Relative approach หรือ Market multiples Approach (เทียบความถูกแพงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน)
1.1 Price to Book Value --> เอา Book Value ของบริษัทที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต 12 เดือนข้างหน้า คูณกับ Price to Book Value Ratio (P/BV ratio) ของอุตสาหกรรมเดียวกัน ประมาณว่า โดยทฤษฏีแล้ว ความถูกแพงในระยะยาวของหุ้นแต่ละตัวจะปรับเข้าสู่ตัวเลขใกล้ ๆ กัน คือ ควรจะมี P/BV ใกล้ ๆ กันทั้งอุตสาหกรรม
1.2 Price to Earning --> เอากำไรต่อหุ้น (Earning per share) ของบริษัที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต 12 เดือนข้างหน้า คูณกับ Price to Earning Ratio (P/E Ratio) ของอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยอิงหลักการเหมือน P/BV
คูณกันแล้วได้ค่าออกมาเท่าไร ก็คือ Target Price ที่ได้จากวิธี Relative Approach
2. Discount Cash Flow Approach (คิดลดกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคต)
2.1 Dividend Discount เอาประมาณการเงินปันผลที่ผู้ลงทุนจะได้รับในอนาคต (สูตรคณิตศาสตร์สามารถคำนวณ cash flow ที่ไม่รู้จบให้มาเป็นก้อนนิ่ง ๆ ได้) มาคิดเป็นมูลค่าในวันนี้
2.2 Free Cash Flow Discount เอาประมาณการกระแสเงินสดสุทธิที่เจ้าของกิจการจะได้รับในอนาคต มาคิดเป็นมูลค่าในวันนี้
เจ้าก้อนของมูลค่าในวันนี้ ก็คือ Target Price ที่ได้จากวิธี Discount Cash Flow Approach
ในการพิจารณา Target Price ต้องทำหลาย ๆ วิธี และดู Range ของตัวเลขที่คำนวณได้ ไม่ใช่การคำนวณออกมาค่าเดียวแล้วฝังใจใช้ไปเลย เพราะอนาคตไม่แน่นอน แต่ก็จะมีช่วงราคาที่มันเป็นไปได้อยู่ช่วงหนึ่ง ไม่ใช่จุดใดจุดเดียว ในการตัดสินใจลงทุน ก็ดูว่า ราคาตลาดในปัจจุบัน มันอยู่แถว ๆ ไหน เมื่อเทียบกับช่วงที่คำนวณได้นั้น เช่น ตอนนี้ราคา 50 บาท แต่คำนวณช่วงราคาที่ควรเป็นได้ประมาณ 70-90 บาท แบบนี้ถือว่าน่าสนใจ เพราะขอบล่าง สูงกว่าราคาปัจจุบัน แต่ราคาคำนวณได้ที่ 45-60 บาท แบบนี้ก็น่าสนใจน้อยลงมา เพราะก้ำกึ่ง
ทั้งนี้ เราสามารถศึกษาการวิเคราะห์หา Target Price หรือ Fair Price เพิ่มเติมได้จาก
1. Research Paper ของค่ายต่าง ๆ ที่เปิดเผยไว้ใน settrade.com หน้า IAA Consensus
อย่างในรูปเป็นตัวอย่างของหุ้น SCB ซึ่งอย่างค่าย Trinity (เปิดดูไฟล์ PDF) เขาใช้วิธีง่ายหน่อย คือ เทียบกับ P/BV
(http://www.settrade.com/AnalystConsensus/C04_10_stock_saa_p1.jsp?selectPage=10&txtSymbol=SCB)
2. เอกสารที่ Financial Adviser เปิดเผยต่อตลาด เมื่อมีดีลซื้อขายกิจการ
อย่างในรูป เป็นดีลที่บริษัท EE ซื้อหุ้นโรงไฟฟ้า ก็จะต้องมีการคำนวณหามูลค่าที่เหมาะสมของกิจการ เพื่อเทียบว่า ราคาที่ซื้อขายกันนั้น สมเหตุผลหรือไม่ โดยลองคำนวณหลาย ๆ วิธีแล้วเอามาดูว่า Range เป็นอย่างไร ซึ่งรูปที่คัดมา เป็นแค่บางช่วงบางตอนเท่านั้น เพื่อให้พอได้กลิ่น แนะนำให้ดูเอกสารฉบับสมบูรณ์จะดีที่สุดครับ
(http://www.set.or.th/set/pdfnews.do?file=http%3A%2F%2Fwww.set.or.th%2Fdat%2Fnews%2F201411%2F14070348.pdf)
อย่างในรูป เป็นดีลที่บริษัท EE ซื้อหุ้นโรงไฟฟ้า ก็จะต้องมีการคำนวณหามูลค่าที่เหมาะสมของกิจการ เพื่อเทียบว่า ราคาที่ซื้อขายกันนั้น สมเหตุผลหรือไม่ โดยลองคำนวณหลาย ๆ วิธีแล้วเอามาดูว่า Range เป็นอย่างไร ซึ่งรูปที่คัดมา เป็นแค่บางช่วงบางตอนเท่านั้น เพื่อให้พอได้กลิ่น แนะนำให้ดูเอกสารฉบับสมบูรณ์จะดีที่สุดครับ
(http://www.set.or.th/set/pdfnews.do?file=http%3A%2F%2Fwww.set.or.th%2Fdat%2Fnews%2F201411%2F14070348.pdf)
3. ตำราวิชาการด้านการลงทุน (คนที่ทำข้อ 1 ข้อ 2 ก็เรียนมาจากข้อ 3 นี่ล่ะครับ)
อย่างในรูป เป็นหนังสือเตรียมสอบ CISA Level 2 ในหมวด การประเมินมูลค่าสินทรัพย์ครับ
(http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=1193&Itemid=991%20)
อย่างในรูป เป็นหนังสือเตรียมสอบ CISA Level 2 ในหมวด การประเมินมูลค่าสินทรัพย์ครับ
(http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=1193&Itemid=991%20)
อีกวิธีกับ Price / Book Value = ROE - G / K - G
https://www.youtube.com/watch?v=ae9qvCYCmuw
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
สูตรในการเล่นหุ้นซิลลิ่ง
สูตรในการเล่นหุ้นซิลลิ่ง(ผลรับรอง~50%)
1.เปิดตลาดเช้าดูticker เลือกตัวที่เห็นบ่อยๆมา5ตัว
2. Efin กด F6 สแกนหุ้น ใส่ชื่อหุ้นมันจะบอก %CMPR
เปลี่ยนวิธี(วิธีนี้ได้ผล 80 เปอร์เซ็นต์)
1. ตื่นมา 10.00 เปิดหน้า ticker คู่กับหน้า scan F6 นั่งจดหุ้นที่วิ่งเยอะ ๆ จนถีง 11 โมง แล้วเอามาเปรียบเทียบกับ F6 ว่ามีตัวไหนตรงกันบ้าง ดูตัวที่เปอร์เซ็น CMPR เยอะๆ เกิน 500 ยิ่งดี
2. เก็บหุ้นไว้ในwatch list เราก็คอยตามดู % ใน portfolio ได้
(*CMPR = Compare Average Volume 5 วัน คือ %vol เทียบกับ เมื่อเทียบกับ 5 วันที่ผ่านมา เป็นการสะสมวอลุ่มที่มากขึ้นเรื่อยๆครับ หากสูงแสดงว่าเล่นกันเยอะในวันนั้น เช่น 500% คือ 5 เท่าของค่าเฉลี่ย 5 วัน)
-ควรเล่นในกลุ่มที่กำลังขึ้น และราคายังไปต่อได้ ฉะนั้นควรเล่นในช่วงตลาดขาขึ้น
-พวกที่จะซิลลิ่งได้ จะมีโวลุ่มไม่มาก และไม่ใช่หุ้นมหาชน(เพราะเจ้าลากไปซิลลิ่งไม่ไหว) ส่วนใหญ่ เป็นหุ้นตัวเล็กๆ
สรุปคือ พอมาดู พอร์ตโฟลิโอแล้ว เจอหุ้นที่วิ่งมาสัก 15 เปอร์เซ็นต์ เข้าเลย เข้าแล้วไม่ต้องตกใจ บางทีมันไหลลงมา 2-3 ช่อง ลงเร็ว เดี๋ยววิ่งต่อ เข้า15% แล้ว21%มักขายครึ่วนึงก่อน
-*วิธีเล่น คือ ทยอยขาย*
-watch list 5ตัว แต่เล่นจริงๆ2-3ตัวก็พอ
-ก่อนหน้าจะเล่น ดูแนวรับแนวต้านเก่าด้วยก็จะยิ่งดี ควรดูกราฟไว้ตั้งแต่คืนก่อนเปิดตลาด หาข่าวinside
-จุดสำคัญคือ ต้องคัทให้ทัน ภายใน 2-3 ช่อง โดยตั้งMP(market price)เลย
-ยก ตย. อย่างหุ้น กลุ่มเนชัน(nmg nine nbc) วันศุกร์ม้นวิ่งไปสองตัว เชื่อมั้ยว่า วันอังคาร ตัวที่เหลือ ต้องมา
-สรุป**
กฏข้อแรก ดู ticker
กฏข้อสอง เล่นตอน 11 โมง
กฏข้อสาม เลือกหุ้นที่ได้เปอร์เซ็นต์จะซิลลิ่ง
กฏข้อที่สี่ ขายตรงซิลลิ่งให้ได้
(ช่วงเช้าๆบางที ที่โวลุ่มเข้า จะเป็นการซื้อหรือขายออก มันจะเหวี่ยงแรงๆ %CMPR อาจจะไม่ชัดเจน แต่พอ 11 โมง จะมีหุ้นตัวเด่นๆเริ่มฉายแววออกมา ช่วงบ่ายให้เข้าหุ้นที่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว
CR. Stock Short Note by me
Divergence คืออะไร
คำภีร์ยุทธ เพลงกระบี่เย้ยยุทธจักร
divergence คืออะไร
Divergence คือรูปแบบทางกราฟเทคนิคชนิดหนึ่ง ที่นักเทคนิคคอลมักใช้ดูเป็นสัญญาญกลับตัวของราคา ปกติจะมีอยู่ 2 แบบ คือ bullish divergence และ bearish divergence
1. Bullish divergence เป็นสัญญาณซื้อที่เกิดในช่วงขาลง แล้วกำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้น วิธีการดูก็คือให้ดูการขัดแย้งกันของ Indicator ( RSI หรือ MACD ) กับ ราคา จากตัวอย่างดังรูปข้างล่างจะเห็นว่าราคาลดต่ำลงมาเรื่อยๆ แต่ RSI ทำจุดต่ำสุด 2 จุดยกสูงขึ้น นั่นแปลว่าราคาอาจจะมีการกลับตัวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ให้เฝ้าดูหุ้นที่มีสัญญาณแบบนี้ไว้ให้ดี
ข้อควรระวัง: บางครั้งสัญญาณ bullish divergence เกิดขึ้นก็จริง แต่ราคาก็อาจจะไปได้ไม่ไกล นักลงทุนบางท่านขายไม่ทันทำให้กำไรอาจกลายเป็นขาดทุน ดังนั้นหากเราใช้สัญญาณ bullish divergence ร่วมกับ EMA10 หรือ EMA25 วันด้วยแล้วละก็จะทำให้แน่ใจได้ว่าสัญญาณอาจจะเป็นขาขึ้นจริง โดยมีจุดเข้าซื้อเมื่อราคายืนเหนือเส้น EMA ได้ (จุดวงกลมสีดำ)
2. Bearish divergence เป็นสัญญาณขายที่เกิดในช่วงขาขึ้น แล้วกำลังกลับตัวลง วิธีการดูก็คือให้ดูการขัดแย้งกันของ Indicator ( RSI หรือ MACD ) กับ ราคา จากตัวอย่างดังรูปข้างล่างจะเห็นว่าราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ RSI ทำยอดสูงสุดลดต่ำลง นั่นแปลว่าราคาอาจจะมีการกลับตัวเป็นขาลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถ้าใครมีหุ้นก็อย่าเพิ่งซื้อแต่ให้เตรียมขายจะดีกว่า จุดขายที่ดีคือเมื่อราคาปิดต่ำกว่าเส้น EMA10 หรือ EMA25 วัน (ตรงจุดวงกลมสีดำ) จริงๆแล้วไม่อยากให้ยึดติดกับตัวเลขจำนวนวัน ของ EMA เท่าไรนัก เพราะนักลงทุนแต่ละท่านมีระยะการลงทุนที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นผมแนะนำว่าหากใครเล่นระยะไหนก็ควรปรับเส้น EMA ตามสไตล์ของแต่ละคนจะดีกว่า
บางครั้งการเกิดสัญญาณ divergence อาจจะเกิดมากกว่า 2 จุด คืออาจจะมี 3 จุด หรือถ้าจะมองให้ง่ายขึ้นก็คือ มียอดเขามากกว่า 2 ลูก หรือมีก้นเหวมากกว่า 2 เหวก็ได้ (งงขึ้นไหม!) คือผมกำลังจะบอกว่าบางครั้ง 2 จุดมันไม่เกิดสัญญาณ แต่อาจจะเกิดสัญญาณกลับตัวในจุดที่ 3 ก็ได้ เพราะฉะนั้นเห็นสัญญาณ divergence แล้วก็อย่าเพิ่งรีบร้อนซื้อ หรือขายในทันทีให้ใช้ EMA confirm หรือใช้ร่วมกับ Indicator ตัวอื่นก็จะได้ผลยิ่งขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558
Indicators
- Indicators
|
การหาหุ้น
สรุปวิธีการหาหุ้นเล่น
1. Top Gainer
หรือพวก Most active ต่างๆ
เลือกพวกเขียวๆ มี Vol เข้า แล้วเอาไปเช็คกราฟอีกที
2. %CMPR
3. เลือกกลุ่มก่อนว่าช่วงนี้ ข่าวสารอย่างนี้ควรเล่นกลุ่มไหน แล้วเลือกหุ้นตัวที่ดีที่สุด 2-3 อันดับแรกของกลุ่มนั้นมาดูกราฟ ตัวไหนยังพอซื้อได้ มี upside gain คุ้มเสี่ยง แล้วจึงซื้อ พอมีสัญญานขาย ...ค่อยขาย...Cr.แท็กซี่นิรนาม
Money Flow Index (“MFI”)
Money Flow Index (“MFI”)
Money Flow Index (“MFI”) เป็น momentum indicator ซึ่งใช้วัดความแข็งแกร่งในการเคลื่อนไหวเงินเข้าและออกของหุ้น โดยดัชนีตัวนี้เกี่ยวกับ Relative Strength Index (RSI) แต่ค่า RSI เกี่ยวกับราคาเท่านั้น ส่วนตัว Money Flow Index คำนึงถึงปริมาณการซื้อขายด้วย
ความหมาย
การแปลความหมายของ Money Flow Index ให้ทำดังต่อไปนี้
- มองหา divergence ระหว่างตัวดัชนีกับพฤติกรรมของราคา ถ้าราคามีแนวโน้มที่สูงขึ้นแต่ค่า MFI มีแนวโน้มลดลง จุดกลับตัวน่าจะเกิดขึ้น
- มองหาจุดสูงสุดของราคาซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อค่า MFI มากกว่า 80 และการมองหาจุดต่ำสุดของราคาซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อค่า MFI ต่ำกว่า 20
ตัวอย่าง
กราฟแสดงหุ้น Intel และค่า Money Flow Index แบบ 14 วัน
การ divergence ที่จุด A และจุด B ซึ่งจะให้ข้อมูลในแบบ leading indicator ซึ่งเป็นการบอกล่วงหน้าของการกลับตัวของราคา
Cr : http://socialintegrated.com/stock-money-flow-index
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558
Day Trade - Cyber w1
Day Trade - Cyber w1
เหตุที่เข้า : เห็นเปิดตลาดแล้วตัวแม่กดลงต่ำกว่าราคาปิดวันก่อน แล้วลากกลับ (2.76 -> 2.72 ) ในขณะที่ตัวลูกเปิดกระโดด 1.95 จากปิดวันก่อน 1.92 แล้วถูกกดลงมาที่ราคาวันก่อน เลยตัดสินใจเข้า
Stop loss : ถ้าหลุด 1.90 จะทิ้ง.... 1.90 มาจากไหน => มาจาก มองว่า ราคาไม่ควรต่ำกว่า 1.92 ซึ่งเป็นราคาปิดของวันก่อน แต่ยอมให้อีก 2 ช่อง เผื่อเจ้ากดหลอก
แล้วเจ้าก็กดจริงๆ ลงไปที่ 1.91 แล้วลากกลับ ทะลุ 2.00 จนไปจบแท่งที่ 2.04 ทำ H ที่ 2.06
เปิดแท่งใหม่กดแดง....พยายามโยนออกที่ 2.06 แล้วแต่ไม่ได้
ราคาย่อลงไปวิ่งแถว 2.04-2.02 ตัดสินใจแบ่งขายไปครึ่งหนึ่ง ที่ 2.02 โยนซ้ายเลย
สุดท้าย ทั้งตัวแม่และลูกก็ย่อ ลงทำแท่งแดงที่ 2 เลยตัดสินใจขายที่เหลือที่ 2.00 กำไร 4.5%
สิ่งที่ได้เรียนรู้
1. แม่เปิดกด ลูกเปิดโดด ต้องดูต่อว่าแม่หรือลูกที่จะวิ่งกลับไปหา
2. เล่นไว => แท่งเทียนพอเอาตัวรอดได้
3. อย่าต่อรอง เล่นไว ขายตามเป้าเท่านั้น ไปต่อช่างมัน
4. ต้าน-รับ สำคัญ มองออกก็เล่นได้ ทะลุต้านตาม หลุดรับทิ้ง
TPIP01C1508A
บันทึกการเทรด TPIP01C1508A
ห่อ TPIP01C1508A มาวันที่ 10/4/58 ก่อนหยุดยาวสงกรานต์ ด้วยการซื้อถัว 3 ไม้
- 50,000 @ 0.41
- 100,000 @ 0.38
- 300,000 @ 0.36
ต้นทุนเฉลี่ย 0.37
* เป็นวิธีการที่ผิด เนื่องจากเป็นการถัวขาลง แต่ด้วยเหตุผลหนึ่งที่เห็นคือ ราคาตัวแม่ ทำ H 3.04 แล้วไหนลงไปหยุดแถว 2.90-2.96 เข้าใจว่าจะหยุดเนื่องจากเห็นแท่งรีบาวร์ เลยเข้าไม้สอง แต่ตัวแม่ไหลลงต่อไปที่ 2.82-2.88 แล้วหยุดอยู่แถวนั้น จึงถัวอีกหนึ่งไม้ เพื่อดึงต้นทุนลงและต้องการเล่นเด้ง โดยมีแผนการ Stop Loss : ถ้าราคาแม่หลุด 2.82 ซึ่งเป็น Low ที่พึ่งทำ จะทำการทิ้งทั้งหมด โดยจะขาดทุน 13,500 บาท
เปิดตลาดวันแรก 16/4 หลังสงกรานต์
ตัวแม่พยายามขึ้นไปทำ H @ 2.92-2.94 แต่ไม่รอด (SSTO ตัดลง) ในขณะที่ตัวลูกก็ขยับไปป่วนเปี้ยนแถวๆ 0.38 แถม SSTO เริ่มตัดลงเหมือนกัน (TF-15) ตัดสินใจลดความเสี่ยงลงครึ่งหนึ่ง ขายไป 250,000 หุ้น @0.38
สุดท้ายก็ไม่รอดจริง ราคาลงมาทั้งแม่และลูก แต่ตอนปิดตลาดทั้งคู่ปิดกระโดด...ถอด Order แทบไม่ทัน (ตั้งใจจะปล่อย ATC หมด) อมไปลุ้นต่อวันพรุ่งนี้...555
วันล้างบาง 17/4/15
เปลี่ยนกลยุทธ์ ด้วยการตั้งขายตั้งแต่เที่ยงคืน 555
ตั้งไว้ที่ 0.39/0.40 อย่างละ 1 แสนหุ้น ไม่อยากถือข้าม week
รุ่งขึ้น แม่เปิดเท่าปิดเมื่อวาน ลูกจะขยับไปไหน เฝ้าทั้งวัน Swing แถว 2.88-2.92 เริ่มเบื่อจนถึงเบื่อมาก... แถมลูกยังถูกกดลงแถว 0.36อีกตะหาก
ไม่อยากเอากลับแล้ว กะว่าวนกลับมาแถว 0.37 อีกเมื่อไหร่จะขายแล้ว...เซ็ง
ที่ไหนได้ !!! มันดันกระโดดข้ามไปแถว 0.38 อีก เอาว๋ะ...นั่งดูต่ออีกสักตั้ง
ไม่มีวี่แววว่าจะวิ่ง ทั้งๆที่ควรจะวิ่ง เพราะสังเกตุจาก Bid-offer ตัวแม่
พอใกล้ 4 โมงเย็นเท่านั้นแหละ ความสนุกมาเยือน.... นึกว่ามันไม่เอาแล้ว เดย์เทรดต้องทิ้งแน่ๆ ประกอบกับเป็นเย็นวันศุกร์
จัดการถอด Order แรกเลยจาก 0.40 มาว่างไว้ที่ 0.38 แทน และจัดการขายตัวแม่ที่ 0.92 ซะเลย...555 กำไรแล้ว 2% เอาไว้ก่อน
แต่เดี๋ยวก่อน...พอแม่ Match ปั๊ป ตัวลูกวิ่งต่อเลย พร้อมทั้งตัวแม่วิ่งด้วย เกิดเป็นแท่งเขียวยาว โดยลากตัวแม่ไปที่ 2.98 ทันที .... เหอะ ไรว๊ะ...แหม่ง เช็คชื่อกรูนี้หว่า
เท่านั้นไม่พอ แม่วิ่ง แล้วลูกจะรออะไร ก็วิ่งตามดิ ไปกระแทก 0.41 เรียบร้อย
สรุป Order ที่ตั้งไว้ และที่ย้ายใหม่...ถูกล้างบาง.....ชิ
จบเกมส์ กำไร 5500
- เล่น DW การซื้อขายต้องอิงตัวแม่เป็นหลัก จังหวะที่ขายวันสุดท้าย เพราะ
1. ไม่อยากห่อข้ามวิค....ตามแผน....แต่
2. จังหวะที่ขาย แม้ว่า SSTO หักหัวลง แต่ตัวแม่พึ่งหักหัวขึ้นนะจ๊ะ
3. ระวังเรื่อง Time Decay
วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558
เสี่ยป๋อง
เสี่ยป๋อง
รู้ Book value เขาเท่าไหร่
รู้ Earning เขาเท่าไหร่
ดูบันทัดสุดท้าย EPS เทียบ PE
ดู Glow
แล้วก็หากราฟมา Match
ถ้ากราฟเสีย เขาก็ผิด => กราฟตัดลง จะมาบอกว่าดีได้ไง
รู้ Book value เขาเท่าไหร่
รู้ Earning เขาเท่าไหร่
ดูบันทัดสุดท้าย EPS เทียบ PE
ดู Glow
แล้วก็หากราฟมา Match
ถ้ากราฟเสีย เขาก็ผิด => กราฟตัดลง จะมาบอกว่าดีได้ไง
เคล็ดลับการเก็งกำไรในแบบฉบับ
'เก่ง - จักรกฤษณ์ พึ่งตัว' Trigger Trader จากพอร์ตหลักแสนสู่พันล้าน
1. หาหุ้นเก็งกำไรในวันให้ได้ก่อน >> มี gap และ Vol ในวันนั้น >> ตามดูก่อน >> ขาขึ้นไหม >> ย่อลงมาสัก 10-20% น่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นที่เริ่มบวกในวันแรก
2. จุดคัสต้องมีก่อนขาย >> ซื้อแล้วไม่วิ่ง ก็ต้องเตรียมขายทิ้ง เช่น ซื้อ 3 บาท ตั้งใจคัส 2.9 ถ้าไม่ไปหรือย่อก็เตรียมขายทิ้ง
วิธีสแกนหุ้น
1. เลือก Most Gainer จบวัน
2. มี volume แน่น
3. หุ้นบวกเกิน 10%
4. ราคาไม่ควรเกิน 10 บาท
จากนั้นมาเฝ้าดู เพื่อดู step การเล่นก่อนซื้อ
หัวใจของการเทรด
- วินัยของการ cut loss
- ถ้าคิดจะเล่นหุ้น ต้องจริงจังกับมัน
ข้อสังเกตุ
- หุ้นที่มีจำนวนหุ้น 1000 - 10000 ล้านหุ้น ไม่น่าสนใจ >> กว่าจะลากได้ต้องใช้มวลชนเยอะ
- หุ้น bid - offer หลักพัน ไม่เล่น
- เล่นหุ้นขาขึ้นเท่านั้น
- ตั้งเป้ากำไรต่อเดือน ทำได้ค่อยๆ ขยับ
Clip
วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
การเล่นหุ้น Break out และ Volume เข้า
การเล่นหุ้น Break out และ Volume เข้า
1. ถ้าเห็นแต่เช้า 10 โมงแล้ววิ่งไป 7-8% เข้าได้ แต่ถ้ามาเห็นช่วงบ่ายวิ่งไปแล้ว 20% กว่า ห้ามเข้า2. หุ้นที่วันนี้วิ่งราคา Beark แล้ว Vol > Avg 5 วัน หรือ 2 วันก่อนหน้ารวมกัน รุ่งขึ้นจะพักตัว ค่อยเข้า
3. ปกติหุ้นที่จะลิ่งสนิท จะลิ่งก่อนเที่ยงหรือไม่เกินบ่าย 3
4. หุ้นที่ลิ่งไม่สนิท ปกติท้ายตลาดจะย่อ ~10%
วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ข้อควรจำสำหรับการเทรด
ข้อควรจำสำหรับการเทรด
1.หลุด SL แล้วอย่าต่อรอง (เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย)
2.ไม่ชัดอย่ามโน
3.การบริหารเงินในพอร์ตเป็นเรื่องสำคัญ ต้องมีเงินเหลืออย่างน้อย 20% เสมอ
4. Day trade ใจต้องเด็ด อย่าหวั่นไหว อย่าต่อรอง เข้าต้องเข้า ออกต้องออก
5. Day trade กับ Price Pattern , SSTO
6. อย่ารันเทรนในตลาดขาลง ได้เงินแล้วรีบเผ่น ...by คุณซัน
7. หุ้นซึ่มๆ ค่อยๆไหลลง อย่าไปเสียเวลากับมัน อย่าไปเสียดาย
6. อย่ารันเทรนในตลาดขาลง ได้เงินแล้วรีบเผ่น ...by คุณซัน
7. หุ้นซึ่มๆ ค่อยๆไหลลง อย่าไปเสียเวลากับมัน อย่าไปเสียดาย
#โค-ตะ-ระ-เม่า เฝ้าทุกดอย
เปิด 7 กลยุทธ์เฟ้นหาสุดยอดหุ้นสูตร ‘นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ’
เปิด 7 กลยุทธ์เฟ้นหาสุดยอดหุ้นสูตร ‘นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ’
เลือกหุ้นแบบไหนสร้างผลตอบแทนได้ 4-5 เท่า..ตั้งแต่เปลี่ยนมาลงทุนแนว VI ซื้อหุ้น ‘ไม่เคยขาดทุน’
จากหมอสูติ-นรีเวช ก้าวสู่เส้นทาง “เซียนหุ้นวีไอ” ต้องการมีอิสระภาพทางการเงิน นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ คุณหมอวัยกลางคนวัย 43 ปี เคยล้มเหลวจากการลงทุนเพราะยึดนโยบาย “ไม่
ขาย ไม่ขาดทุน” ทำให้ “ขาดทุน” จากวอร์แรนท์ตัวหนึ่งถือไว้จนราคาหุ้นแทบเป็น “ศูนย์” จากนั้นก็หยุดเล่นหุ้นไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาซื้อขายอีกครั้งในปี 2544 ด้วยแนวทาง Value Investor อย่างเต็มตัว ปัจจุบันคุณหมอเป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นหลักเท่าไร “ไม่รู้” เพราะเจ้าตัวกอดความลับนี้ไม่ยอมเปิดเผย บอกเพียงว่าไม่แตกต่างอะไรจากคณะกรรมการสมาคมวีไอคนอื่นๆ…ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า “พอร์ตคงใหญ่ไม่ใช่เล่น”
หมอมุขเจ้าของชื่อล็อกอิน Paul vi ในเว็บไซต์ไทยวีไอ เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวให้ฟังว่า หลักๆ จะเน้นดู 7 ข้อ
คือ 1.หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูง 15-20% ขึ้นไป ROE จะบ่งบอกความสามารถของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น “ยิ่งสูง ยิ่งดี” แต่บางครั้งก็มีตัวหลอกเหมือนกัน หากบริษัทนั้นมีหนี้สินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องดูดีๆ อย่ารีบเชื่อทันที!
ข้อ 2. หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) สูงกว่า 10%
ข้อ 3.ต้องมี PEG ratio น้อยกว่า 1 เท่า คือการเทียบค่า P/E ratio กับการเจริญเติบโตของกำไรสุทธิ (Growth) หาโดยเอาค่า P/E ratio ตั้งหารด้วยเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตนั้น บริษัทใดที่ราคาหุ้นต่ำจะน่าซื้อ ถ้าค่า PEG ratio เกิน 1 แสดงว่าราคาหุ้นสูงเกินไป
ข้อ 4.ต้องมีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ในระดับ 3.5-4% ขึ้นไป ถามว่าทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้ เพราะเป็นตัวเลขที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปกติจะอยู่ระดับ 3% ข้อ 5. หุ้นตัวนั้นต้องมีกระแสเงินสดสูงๆ ยิ่งไม่ต้องจ่ายหนี้ “ผมจะชอบมากเป็นพิเศษ”
ข้อ 6. ผู้บริหารต้องไว้ใจได้ (โปร่งใส) พูดแล้วทำได้จริง ซึ่งเราต้องไปคุยกับผู้บริหารบ่อยๆ ยิ่งเขาถือหุ้น 20-25% ผมยิ่งชอบเพราะมันจะบ่งบอกว่า เขาจะทุ่มเทในการทำงานมากขนาดไหน ข้อสุดท้าย จะดูปัจจัยทางกายภาพ ธุรกิจนี้มีความแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน โอกาสเติบโตของรายได้และกำไรเป็นอย่างไร สินค้าหรือธุรกิจหลักจะเติบโตไปตามชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และลูกค้านิยมชมชอบสินค้ามากหรือน้อยแค่ไหน ที่สำคัญจะดูว่าคู่แข่งของเขามีใครบ้าง หากจะมีคู่แข่งเกิดขึ้นใหม่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ง่ายหรือยาก
“ผมไม่นิยมดูเส้นเทคนิคและไม่เคยนำมาประยุกต์ใช้ เพราะไม่เข้าใจในหลักการ ส่วนใหญ่จะดูเพียงราคา ณ ปัจจุบัน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับมูลค่าที่ประเมินไว้ว่ามันมีส่วนลด (Margin of Safety) เป็นที่น่าพอใจหรือไม่ เช่น ถ้ามีส่วนลด 40-50% จากมูลค่าที่คิดไว้ก็พอใจที่จะซื้อแล้ว”
เซียนหุ้นคุณพ่อลูกสอง กล่าวต่อว่า ในพอร์ตมีหุ้นที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ประมาณ 4-5 เท่า อยู่ใน 3 กลุ่มหลักๆคือ
1.กลุ่มโมเดิร์นเทรด (ไม่บอกชื่อหุ้น) ตัวนี้ชอบมากที่สุด เพราะเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดค่อนข้างมาก มีอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์สูง ที่สำคัญการขยายสาขาส่วนใหญ่จะใช้โมเดลเดิมๆ ใช้เงินลงทุนไม่มากสามารถทำซ้ำๆ ได้ตลอดเวลา
ข้อดีของหุ้นโมเดิร์นเทรดตัวที่ลงทุนเขายังสามารถขยายสาขาได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตามจังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา และหาดใหญ่ รวมถึงหัวเมืองรองๆ เช่น ราชบุรี และนครปฐม เป็นต้น ฉะนั้นเมื่อโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ไปเปิดสาขาใหม่ พวกโมเดิร์นเทรดเล็กๆ ก็จะตามไปเปิดด้วย
ข้อดีของหุ้นโมเดิร์นเทรดตัวที่ลงทุนเขายังสามารถขยายสาขาได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตามจังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา และหาดใหญ่ รวมถึงหัวเมืองรองๆ เช่น ราชบุรี และนครปฐม เป็นต้น ฉะนั้นเมื่อโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ไปเปิดสาขาใหม่ พวกโมเดิร์นเทรดเล็กๆ ก็จะตามไปเปิดด้วย
รองลงมา คือ กลุ่มที่จะได้ผลประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ เช่น กลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย เพราะเขาจะมีอำนาจการต่อรองกับผู้บริโภคสูง และมีแนวโน้มจะเติบโตไปตามวิถีชีวิตของประชาชน
“จุดเด่นของหุ้นสื่อสารตัวนี้ (ที่ลงทุน) คือเขาจะมีกระแสเงินสดเยอะ ลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อยี่ห้อสูงไม่ค่อยเปลี่ยนค่าย รวมถึงได้เปรียบในความใหญ่ ที่สำคัญสเปกทางการเงินของเขาตรงใจผมทุกอย่าง (หัวเราะ)”
“จุดเด่นของหุ้นสื่อสารตัวนี้ (ที่ลงทุน) คือเขาจะมีกระแสเงินสดเยอะ ลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อยี่ห้อสูงไม่ค่อยเปลี่ยนค่าย รวมถึงได้เปรียบในความใหญ่ ที่สำคัญสเปกทางการเงินของเขาตรงใจผมทุกอย่าง (หัวเราะ)”
กลุ่มที่สาม คือ หุ้นเทิร์นอะราวด์ กลุ่มนี้เคยสร้างผลตอบแทนได้ดีมาก โดยมักจะเข้าไปซื้อในช่วงที่ไม่มีนักลงทุนรายใดสนใจ หลังพบว่าธุรกิจนั้นเกิดความผิดพลาดเพียงชั่วคราวหากศึกษาแล้วพบว่าอนาคตเขากำลังจะดีขึ้นจะเข้าไปซื้อไว้ จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ BizWeek พบว่า นพ.ประมุข เคยเข้าไปลงทุนในหุ้นเทิร์นอะราวด์ อาทิ หุ้นทาพาโก้, ไดเมท (สยาม), พรีบิลท์ และ ซิงเกอร์ประเทศไทย เป็นต้น
“นอกจากนี้ผมก็ชอบลงทุนหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทน 7-10% เพราะมันจะทำให้พอร์ตของผมมั่งคงมากขึ้น ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนของผมอยู่ในรูปเงินสด หุ้นกู้ และสินทรัพย์อื่นๆ 10-20% ที่เหลือ 80% จะลงทุนในหุ้น โดยจะเน้นลงทุนหุ้นเติบโต 80% อีก 10-20% จะลงทุนหุ้นปันผล”
หมอมุข เล่าต่อว่า ตอนนี้มีหุ้นอยู่ในพอร์ต 8 ตัว ปกติจะถือลงทุนไม่เกิน 10 ตัว มากกว่านี้จะดูไม่ทัน หลังจากที่ซื้อหุ้นตัวไหนแล้วก็จะถือไปจนกว่าราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ถ้าราคาหุ้นขึ้นมาถึงราคาที่เหมาะสมแล้วแต่ยังหาตัวใหม่ที่ดีกว่าไม่ได้ ก็จะยังไม่ขาย บางตัวเคยถือนาน 2-3 ปี ระยะสั้นที่สุด 8 เดือน
“นอกจากนี้ผมก็ชอบลงทุนหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทน 7-10% เพราะมันจะทำให้พอร์ตของผมมั่งคงมากขึ้น ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนของผมอยู่ในรูปเงินสด หุ้นกู้ และสินทรัพย์อื่นๆ 10-20% ที่เหลือ 80% จะลงทุนในหุ้น โดยจะเน้นลงทุนหุ้นเติบโต 80% อีก 10-20% จะลงทุนหุ้นปันผล”
หมอมุข เล่าต่อว่า ตอนนี้มีหุ้นอยู่ในพอร์ต 8 ตัว ปกติจะถือลงทุนไม่เกิน 10 ตัว มากกว่านี้จะดูไม่ทัน หลังจากที่ซื้อหุ้นตัวไหนแล้วก็จะถือไปจนกว่าราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ถ้าราคาหุ้นขึ้นมาถึงราคาที่เหมาะสมแล้วแต่ยังหาตัวใหม่ที่ดีกว่าไม่ได้ ก็จะยังไม่ขาย บางตัวเคยถือนาน 2-3 ปี ระยะสั้นที่สุด 8 เดือน
“ตั้งแต่ผมเปลี่ยนมาลงทุนแนว VI “ผมไม่เคยขาดทุน” เพราะราคาที่ซื้อจะพิจารณาด้วยความระมัดระวัง ไม่ค่อยไล่ราคา..ผมรอได้ ไม่อยากติดบนรถไฟนานๆ (หัวเราะ) อีกอย่างราคาที่ซื้อคิดแล้วไม่แพงเกินไป และทุกครั้งที่ซื้อหุ้นตัวไหนผมจะจดไว้เสมอว่า ซื้อเมื่อไร ซื้อเพราะอะไร ราคาเป้าหมายเท่าไร และจะขายเมื่อไร”
นพ.ประมุข บอกว่า เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปถึงเป้าหมาย ก็จะย้อนกลับไปดูว่าหุ้นตัวนั้นขึ้นเพราะเหตุผลนี้(ที่จดไว้)หรือไม่ ถ้าขึ้นมาเร็วเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของนักลงทุน แต่ราคายังไม่ถึงเป้าหมายก็อาจจะขายออกไปก่อน แล้วอาจกลับมาซื้อใหม่ถ้าราคาลดลง ตรงกันข้ามหากราคาหุ้นขึ้นเพราะจะมีข่าวดีที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนก็จะถือต่อไป การลงทุนจะถือคติว่า “การเป็นนักลงทุนแนว VI ไม่จำเป็นต้องซื้อจุดต่ำสุด ขายจุดสุงสุดเสมอไป”
คุณหมอ อธิบายยุทธวิธีการซื้อหุ้นของตัวเองให้ฟังว่า หากมั่นใจ 100% จะเข้าซื้อหุ้นตัวนั้น 30% ของพอร์ต (ไม่เกินนี้) วิธีการซื้อจะไม่ซื้อครั้งเดียว 30% แต่จะแบ่งซื้อเป็น 5-10 ไม้ ไม้ละ 10-20% มีทั้งเคาะซื้อทันที และตั้งรอ (ช่อง Bid) เพื่อเฉลี่ยต้นทุนและเพื่อความปลอดภัย เพราะถ้าซื้อทีเดียวบางครั้งความคิดเราอาจยังไม่ตกผลึกพอ แม้จะทำการบ้านมาดีแค่ไหนก็มีโอกาสพลาดได้
“บางคนใจร้อนไม่ยอมรอ..อาจพลาดได้ เวลาซื้อหุ้นกรุณาใจเย็นๆ จงให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นก่อนเสมอ ทุกครั้งที่ผมลงทุนถ้ามีความมั่นใจ 100% มักจะได้กำไร 3-4 เท่า แต่หากมั่นใจหุ้นตัวนั้นเพียง 50% ผมจะซื้อเพียง 10% ของพอร์ต เน้นซื้อแบบตั้งรับ (ตั้งรอ) ไม่ซื้อทันที โดยจะถอยไป 2-3 ช่องราคา บางครั้งก็ไม่ซื้อเลย ขอดูเรื่อยๆ ขอต่อรองราคา ผมจะไม่รู้สึกเสียดายถ้าตกรถไฟ เพราะถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจ..อย่าซื้อ!!”
จากสถิติการลงทุนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คุณหมอได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจมาก ในปี 2553 ได้กำไร 100% ปี 2554 ทำกำไรได้ประมาณ 75% น้อยกว่าปี 2553 เพราะราคาหุ้นหลายตัวขึ้นมาสูงแล้ว และหาหุ้นดีๆ ได้ยากขึ้น รวมถึงมูลค่าพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้น ส่วนในปี 2555 ตอนต้นปีตั้งเป้าผลตอบแทนไว้ 40-50% แต่มาถึง ณ วันนี้ กำไรเกินมามากแล้ว เจ้าตัวบอกถ้าเฉลี่ยแต่ละปีได้กำไร 20% ก็ถือว่า “หรู” มากแล้ว
จากสถิติการลงทุนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คุณหมอได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจมาก ในปี 2553 ได้กำไร 100% ปี 2554 ทำกำไรได้ประมาณ 75% น้อยกว่าปี 2553 เพราะราคาหุ้นหลายตัวขึ้นมาสูงแล้ว และหาหุ้นดีๆ ได้ยากขึ้น รวมถึงมูลค่าพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้น ส่วนในปี 2555 ตอนต้นปีตั้งเป้าผลตอบแทนไว้ 40-50% แต่มาถึง ณ วันนี้ กำไรเกินมามากแล้ว เจ้าตัวบอกถ้าเฉลี่ยแต่ละปีได้กำไร 20% ก็ถือว่า “หรู” มากแล้ว
ส่วนคำถามประจำ..คุณหมอมีพอร์ตลงทุนเท่าไร? ความลับนี้เจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยโดยบอกเพียงว่า ทุกวันนี้ได้พบกับ “อิสระภาพทางการเงิน” แล้ว (อยู่ได้โดยให้เงินทำงานให้) คุณหมอบอกว่า กำลังค้นหา “หุ้นที่โลกลืม” ที่มีแนวโน้มจะเติบโตสูงในอนาคต ถ้าใครค้นพบหุ้นลักษณะนี้จะให้ผลตอบแทนที่สูงมาก บางครั้งได้กำไร 3-4 เด้ง ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง นั่นเป็นเพราะไม่มีใครสนใจ
“ผมเคยซื้อหุ้นตัวหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เขาเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้น เพราะงบการเงินเขาตรงสเปกผมทุกอย่าง โดยเฉพาะในแง่ของกระแสเงินสด เขามีเยอะมาก ตอนนั้นมีคนบอกผมว่า ประเมินหุ้นตัวนี้ยากนะ แต่หลังจากผมหาข้อมูลจนครบถ้วนก็ซื้อเลยเพราะเชื่อว่าหุ้นตัวนี้ไปได้ไกลแน่นอน สุดท้ายก็เป็นจริง”
สำหรับหุ้นที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเลย นพ.ประมุข กล่าวว่า หุ้นที่มีการฟ้องร้องทางกฎหมายมีคดียาวเป็นหางว่าว รวมถึงหุ้นที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง และหุ้นที่มีปัญหาด้านศีลธรรม ยิ่งเป็นหุ้นที่มีผู้บริหารไม่โปร่งใสออกแนวสีเทาๆ “ผมไม่ซื้อเลย”
“ผมไม่ค่อยชอบพวกหุ้นโรงงานที่มีการลงทุนเยอะๆ และหุ้นวัฎจักร เช่น คอมมูนิตี้ น้ำมัน และเหล็ก เพราะคาดการณ์ลำบาก ต้องติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา แต่หากเป็นธุรกิจที่มีวัฎจักรยาวๆ เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์บางตัวที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่า ก็ยังพอลงทุนได้”
แม้ชีวิตจะพบกับอิสระภาพทางการเงินแล้ว แต่คุณหมอและภรรยาจะยังยึดอาชีพ “หมอรักษาคนไข้” ต่อไป แต่อาจลดเวลาการทำงานลงบ้างตามอายุ ทุกวันนี้คุณหมอจะสอนลูกทั้ง 2 คน (ผู้หญิงคนโตอายุ 14 ปี และลูกชายอายุ 8 ปี) เกี่ยวกับการลงทุนโดยคนโตเริ่มซึมซับบางแล้ว ส่วนลูกๆจะเลือกเดินทางไหนทั้งสองหมอให้อิสระเต็มที
สุดท้าย นพ.ประมุข ฝากบอกนักลงทุนมือใหม่ว่า นักลงทุนที่ดีควรจะเป็น “นักสำรวจ” ที่ดีด้วย ต้องหมั่นไปดูสินค้าที่เราเป็นเจ้าของ เช่น ไปเยี่ยมชมเคาน์เตอร์ หรือไปดูสินค้าตามห้าง และไปถามว่าเขาขายดีหรือไม่ เราจะได้กลับมาประเมินอนาคตของหุ้นตัวนั้นได้ถูก“หนทางนี้จะนำท่านไปสู่คำว่า “อิสระภาพทางการเงิน” ได้หรือไม่..อยู่ที่ตัวของท่านเองแล้ว” คุณหมอกล่าวปิดท้าย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
• http://thailandinvestmentforum.com