วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การเล่นหุ้น Break out และ Volume เข้า

การเล่นหุ้น Break out และ Volume เข้า
1. ถ้าเห็นแต่เช้า 10 โมงแล้ววิ่งไป 7-8% เข้าได้  แต่ถ้ามาเห็นช่วงบ่ายวิ่งไปแล้ว 20% กว่า ห้ามเข้า
2. หุ้นที่วันนี้วิ่งราคา Beark แล้ว Vol > Avg 5 วัน หรือ 2 วันก่อนหน้ารวมกัน รุ่งขึ้นจะพักตัว ค่อยเข้า
3. ปกติหุ้นที่จะลิ่งสนิท จะลิ่งก่อนเที่ยงหรือไม่เกินบ่าย 3
4. หุ้นที่ลิ่งไม่สนิท ปกติท้ายตลาดจะย่อ ~10%

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข้อควรจำสำหรับการเทรด

ข้อควรจำสำหรับการเทรด

1.หลุด SL แล้วอย่าต่อรอง (เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย)
2.ไม่ชัดอย่ามโน
3.การบริหารเงินในพอร์ตเป็นเรื่องสำคัญ ต้องมีเงินเหลืออย่างน้อย 20% เสมอ
4. Day trade ใจต้องเด็ด อย่าหวั่นไหว อย่าต่อรอง เข้าต้องเข้า ออกต้องออก
5. Day trade กับ Price Pattern , SSTO
6. อย่ารันเทรนในตลาดขาลง ได้เงินแล้วรีบเผ่น ...by คุณซัน
7. หุ้นซึ่มๆ ค่อยๆไหลลง อย่าไปเสียเวลากับมัน อย่าไปเสียดาย 
#โค-ตะ-ระ-เม่า เฝ้าทุกดอย

เปิด 7 กลยุทธ์เฟ้นหาสุดยอดหุ้นสูตร ‘นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ’

เปิด 7 กลยุทธ์เฟ้นหาสุดยอดหุ้นสูตร ‘นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ’ 
เลือกหุ้นแบบไหนสร้างผลตอบแทนได้ 4-5 เท่า..ตั้งแต่เปลี่ยนมาลงทุนแนว VI ซื้อหุ้น ‘ไม่เคยขาดทุน’
จากหมอสูติ-นรีเวช ก้าวสู่เส้นทาง “เซียนหุ้นวีไอ” ต้องการมีอิสระภาพทางการเงิน นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ คุณหมอวัยกลางคนวัย 43 ปี เคยล้มเหลวจากการลงทุนเพราะยึดนโยบาย “ไม่
ขาย ไม่ขาดทุน” ทำให้ “ขาดทุน” จากวอร์แรนท์ตัวหนึ่งถือไว้จนราคาหุ้นแทบเป็น “ศูนย์” จากนั้นก็หยุดเล่นหุ้นไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาซื้อขายอีกครั้งในปี 2544 ด้วยแนวทาง Value Investor อย่างเต็มตัว ปัจจุบันคุณหมอเป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นหลักเท่าไร “ไม่รู้” เพราะเจ้าตัวกอดความลับนี้ไม่ยอมเปิดเผย บอกเพียงว่าไม่แตกต่างอะไรจากคณะกรรมการสมาคมวีไอคนอื่นๆ…ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า “พอร์ตคงใหญ่ไม่ใช่เล่น”
หมอมุขเจ้าของชื่อล็อกอิน Paul vi ในเว็บไซต์ไทยวีไอ เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวให้ฟังว่า หลักๆ จะเน้นดู 7 ข้อ
คือ 1.หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูง 15-20% ขึ้นไป ROE จะบ่งบอกความสามารถของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น “ยิ่งสูง ยิ่งดี” แต่บางครั้งก็มีตัวหลอกเหมือนกัน หากบริษัทนั้นมีหนี้สินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องดูดีๆ อย่ารีบเชื่อทันที!
ข้อ 2. หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) สูงกว่า 10%
ข้อ 3.ต้องมี PEG ratio น้อยกว่า 1 เท่า คือการเทียบค่า P/E ratio กับการเจริญเติบโตของกำไรสุทธิ (Growth) หาโดยเอาค่า P/E ratio ตั้งหารด้วยเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตนั้น บริษัทใดที่ราคาหุ้นต่ำจะน่าซื้อ ถ้าค่า PEG ratio เกิน 1 แสดงว่าราคาหุ้นสูงเกินไป
ข้อ 4.ต้องมีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ในระดับ 3.5-4% ขึ้นไป ถามว่าทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้ เพราะเป็นตัวเลขที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปกติจะอยู่ระดับ 3% ข้อ 5. หุ้นตัวนั้นต้องมีกระแสเงินสดสูงๆ ยิ่งไม่ต้องจ่ายหนี้ “ผมจะชอบมากเป็นพิเศษ”
ข้อ 6. ผู้บริหารต้องไว้ใจได้ (โปร่งใส) พูดแล้วทำได้จริง ซึ่งเราต้องไปคุยกับผู้บริหารบ่อยๆ ยิ่งเขาถือหุ้น 20-25% ผมยิ่งชอบเพราะมันจะบ่งบอกว่า เขาจะทุ่มเทในการทำงานมากขนาดไหน ข้อสุดท้าย จะดูปัจจัยทางกายภาพ ธุรกิจนี้มีความแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน โอกาสเติบโตของรายได้และกำไรเป็นอย่างไร สินค้าหรือธุรกิจหลักจะเติบโตไปตามชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และลูกค้านิยมชมชอบสินค้ามากหรือน้อยแค่ไหน ที่สำคัญจะดูว่าคู่แข่งของเขามีใครบ้าง หากจะมีคู่แข่งเกิดขึ้นใหม่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ง่ายหรือยาก
“ผมไม่นิยมดูเส้นเทคนิคและไม่เคยนำมาประยุกต์ใช้ เพราะไม่เข้าใจในหลักการ ส่วนใหญ่จะดูเพียงราคา ณ ปัจจุบัน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับมูลค่าที่ประเมินไว้ว่ามันมีส่วนลด (Margin of Safety) เป็นที่น่าพอใจหรือไม่ เช่น ถ้ามีส่วนลด 40-50% จากมูลค่าที่คิดไว้ก็พอใจที่จะซื้อแล้ว”
เซียนหุ้นคุณพ่อลูกสอง กล่าวต่อว่า ในพอร์ตมีหุ้นที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ประมาณ 4-5 เท่า อยู่ใน 3 กลุ่มหลักๆคือ
1.กลุ่มโมเดิร์นเทรด (ไม่บอกชื่อหุ้น) ตัวนี้ชอบมากที่สุด เพราะเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดค่อนข้างมาก มีอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์สูง ที่สำคัญการขยายสาขาส่วนใหญ่จะใช้โมเดลเดิมๆ ใช้เงินลงทุนไม่มากสามารถทำซ้ำๆ ได้ตลอดเวลา
ข้อดีของหุ้นโมเดิร์นเทรดตัวที่ลงทุนเขายังสามารถขยายสาขาได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตามจังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา และหาดใหญ่ รวมถึงหัวเมืองรองๆ เช่น ราชบุรี และนครปฐม เป็นต้น ฉะนั้นเมื่อโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ไปเปิดสาขาใหม่ พวกโมเดิร์นเทรดเล็กๆ ก็จะตามไปเปิดด้วย
รองลงมา คือ กลุ่มที่จะได้ผลประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ เช่น กลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย เพราะเขาจะมีอำนาจการต่อรองกับผู้บริโภคสูง และมีแนวโน้มจะเติบโตไปตามวิถีชีวิตของประชาชน
“จุดเด่นของหุ้นสื่อสารตัวนี้ (ที่ลงทุน) คือเขาจะมีกระแสเงินสดเยอะ ลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อยี่ห้อสูงไม่ค่อยเปลี่ยนค่าย รวมถึงได้เปรียบในความใหญ่ ที่สำคัญสเปกทางการเงินของเขาตรงใจผมทุกอย่าง (หัวเราะ)”
กลุ่มที่สาม คือ หุ้นเทิร์นอะราวด์ กลุ่มนี้เคยสร้างผลตอบแทนได้ดีมาก โดยมักจะเข้าไปซื้อในช่วงที่ไม่มีนักลงทุนรายใดสนใจ หลังพบว่าธุรกิจนั้นเกิดความผิดพลาดเพียงชั่วคราวหากศึกษาแล้วพบว่าอนาคตเขากำลังจะดีขึ้นจะเข้าไปซื้อไว้ จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ BizWeek พบว่า นพ.ประมุข เคยเข้าไปลงทุนในหุ้นเทิร์นอะราวด์ อาทิ หุ้นทาพาโก้, ไดเมท (สยาม), พรีบิลท์ และ ซิงเกอร์ประเทศไทย เป็นต้น
“นอกจากนี้ผมก็ชอบลงทุนหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทน 7-10% เพราะมันจะทำให้พอร์ตของผมมั่งคงมากขึ้น ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนของผมอยู่ในรูปเงินสด หุ้นกู้ และสินทรัพย์อื่นๆ 10-20% ที่เหลือ 80% จะลงทุนในหุ้น โดยจะเน้นลงทุนหุ้นเติบโต 80% อีก 10-20% จะลงทุนหุ้นปันผล”
หมอมุข เล่าต่อว่า ตอนนี้มีหุ้นอยู่ในพอร์ต 8 ตัว ปกติจะถือลงทุนไม่เกิน 10 ตัว มากกว่านี้จะดูไม่ทัน หลังจากที่ซื้อหุ้นตัวไหนแล้วก็จะถือไปจนกว่าราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ถ้าราคาหุ้นขึ้นมาถึงราคาที่เหมาะสมแล้วแต่ยังหาตัวใหม่ที่ดีกว่าไม่ได้ ก็จะยังไม่ขาย บางตัวเคยถือนาน 2-3 ปี ระยะสั้นที่สุด 8 เดือน
“ตั้งแต่ผมเปลี่ยนมาลงทุนแนว VI “ผมไม่เคยขาดทุน” เพราะราคาที่ซื้อจะพิจารณาด้วยความระมัดระวัง ไม่ค่อยไล่ราคา..ผมรอได้ ไม่อยากติดบนรถไฟนานๆ (หัวเราะ) อีกอย่างราคาที่ซื้อคิดแล้วไม่แพงเกินไป และทุกครั้งที่ซื้อหุ้นตัวไหนผมจะจดไว้เสมอว่า ซื้อเมื่อไร ซื้อเพราะอะไร ราคาเป้าหมายเท่าไร และจะขายเมื่อไร”
นพ.ประมุข บอกว่า เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปถึงเป้าหมาย ก็จะย้อนกลับไปดูว่าหุ้นตัวนั้นขึ้นเพราะเหตุผลนี้(ที่จดไว้)หรือไม่ ถ้าขึ้นมาเร็วเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของนักลงทุน แต่ราคายังไม่ถึงเป้าหมายก็อาจจะขายออกไปก่อน แล้วอาจกลับมาซื้อใหม่ถ้าราคาลดลง ตรงกันข้ามหากราคาหุ้นขึ้นเพราะจะมีข่าวดีที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนก็จะถือต่อไป การลงทุนจะถือคติว่า “การเป็นนักลงทุนแนว VI ไม่จำเป็นต้องซื้อจุดต่ำสุด ขายจุดสุงสุดเสมอไป”
คุณหมอ อธิบายยุทธวิธีการซื้อหุ้นของตัวเองให้ฟังว่า หากมั่นใจ 100% จะเข้าซื้อหุ้นตัวนั้น 30% ของพอร์ต (ไม่เกินนี้) วิธีการซื้อจะไม่ซื้อครั้งเดียว 30% แต่จะแบ่งซื้อเป็น 5-10 ไม้ ไม้ละ 10-20% มีทั้งเคาะซื้อทันที และตั้งรอ (ช่อง Bid) เพื่อเฉลี่ยต้นทุนและเพื่อความปลอดภัย เพราะถ้าซื้อทีเดียวบางครั้งความคิดเราอาจยังไม่ตกผลึกพอ แม้จะทำการบ้านมาดีแค่ไหนก็มีโอกาสพลาดได้
“บางคนใจร้อนไม่ยอมรอ..อาจพลาดได้ เวลาซื้อหุ้นกรุณาใจเย็นๆ จงให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นก่อนเสมอ ทุกครั้งที่ผมลงทุนถ้ามีความมั่นใจ 100% มักจะได้กำไร 3-4 เท่า แต่หากมั่นใจหุ้นตัวนั้นเพียง 50% ผมจะซื้อเพียง 10% ของพอร์ต เน้นซื้อแบบตั้งรับ (ตั้งรอ) ไม่ซื้อทันที โดยจะถอยไป 2-3 ช่องราคา บางครั้งก็ไม่ซื้อเลย ขอดูเรื่อยๆ ขอต่อรองราคา ผมจะไม่รู้สึกเสียดายถ้าตกรถไฟ เพราะถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจ..อย่าซื้อ!!”
จากสถิติการลงทุนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คุณหมอได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจมาก ในปี 2553 ได้กำไร 100% ปี 2554 ทำกำไรได้ประมาณ 75% น้อยกว่าปี 2553 เพราะราคาหุ้นหลายตัวขึ้นมาสูงแล้ว และหาหุ้นดีๆ ได้ยากขึ้น รวมถึงมูลค่าพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้น ส่วนในปี 2555 ตอนต้นปีตั้งเป้าผลตอบแทนไว้ 40-50% แต่มาถึง ณ วันนี้ กำไรเกินมามากแล้ว เจ้าตัวบอกถ้าเฉลี่ยแต่ละปีได้กำไร 20% ก็ถือว่า “หรู” มากแล้ว
ส่วนคำถามประจำ..คุณหมอมีพอร์ตลงทุนเท่าไร? ความลับนี้เจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยโดยบอกเพียงว่า ทุกวันนี้ได้พบกับ “อิสระภาพทางการเงิน” แล้ว (อยู่ได้โดยให้เงินทำงานให้) คุณหมอบอกว่า กำลังค้นหา “หุ้นที่โลกลืม” ที่มีแนวโน้มจะเติบโตสูงในอนาคต ถ้าใครค้นพบหุ้นลักษณะนี้จะให้ผลตอบแทนที่สูงมาก บางครั้งได้กำไร 3-4 เด้ง ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง นั่นเป็นเพราะไม่มีใครสนใจ
“ผมเคยซื้อหุ้นตัวหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เขาเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้น เพราะงบการเงินเขาตรงสเปกผมทุกอย่าง โดยเฉพาะในแง่ของกระแสเงินสด เขามีเยอะมาก ตอนนั้นมีคนบอกผมว่า ประเมินหุ้นตัวนี้ยากนะ แต่หลังจากผมหาข้อมูลจนครบถ้วนก็ซื้อเลยเพราะเชื่อว่าหุ้นตัวนี้ไปได้ไกลแน่นอน สุดท้ายก็เป็นจริง”
สำหรับหุ้นที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเลย นพ.ประมุข กล่าวว่า หุ้นที่มีการฟ้องร้องทางกฎหมายมีคดียาวเป็นหางว่าว รวมถึงหุ้นที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง และหุ้นที่มีปัญหาด้านศีลธรรม ยิ่งเป็นหุ้นที่มีผู้บริหารไม่โปร่งใสออกแนวสีเทาๆ “ผมไม่ซื้อเลย”
“ผมไม่ค่อยชอบพวกหุ้นโรงงานที่มีการลงทุนเยอะๆ และหุ้นวัฎจักร เช่น คอมมูนิตี้ น้ำมัน และเหล็ก เพราะคาดการณ์ลำบาก ต้องติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา แต่หากเป็นธุรกิจที่มีวัฎจักรยาวๆ เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์บางตัวที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่า ก็ยังพอลงทุนได้”
แม้ชีวิตจะพบกับอิสระภาพทางการเงินแล้ว แต่คุณหมอและภรรยาจะยังยึดอาชีพ “หมอรักษาคนไข้” ต่อไป แต่อาจลดเวลาการทำงานลงบ้างตามอายุ ทุกวันนี้คุณหมอจะสอนลูกทั้ง 2 คน (ผู้หญิงคนโตอายุ 14 ปี และลูกชายอายุ 8 ปี) เกี่ยวกับการลงทุนโดยคนโตเริ่มซึมซับบางแล้ว ส่วนลูกๆจะเลือกเดินทางไหนทั้งสองหมอให้อิสระเต็มที
สุดท้าย นพ.ประมุข ฝากบอกนักลงทุนมือใหม่ว่า นักลงทุนที่ดีควรจะเป็น “นักสำรวจ” ที่ดีด้วย ต้องหมั่นไปดูสินค้าที่เราเป็นเจ้าของ เช่น ไปเยี่ยมชมเคาน์เตอร์ หรือไปดูสินค้าตามห้าง และไปถามว่าเขาขายดีหรือไม่ เราจะได้กลับมาประเมินอนาคตของหุ้นตัวนั้นได้ถูก“หนทางนี้จะนำท่านไปสู่คำว่า “อิสระภาพทางการเงิน” ได้หรือไม่..อยู่ที่ตัวของท่านเองแล้ว” คุณหมอกล่าวปิดท้าย

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Gap Analysis

Gap Analysis
   Gap เกิดจากการเปลี่ยน Information แล้ว นลท คิดว่า ราคา ณ ปัจจุบัน ไม่ใช่ เช่น นลท เก็งว่ากำไรจะดี ราคาจะขึ้นๆๆ  กำไรจริงดี ก็กระโดดขึ้น ไม่ดีก็กระโดดลง



-Common Gap เกิดในระหว่างหุ้นพักตัว ไม่มี Vol ไม่มีนัยยะสำคัญ
-Break Away Gap เกิดกระโดดข้ามแนวรับหรือแนวต้าน จะมี Vol peak ซึ่งทางเทคนิคคอลแล้ว BAG จะเป็นสัญญาณซื้อหรือขาย ยิ่ง BAG ที่มี Vol Buy > 65% ของวันที่ Break วันรุ่งขึ้นยิ่งต้องรีบซื้อ ไม่งั้นตกรถ
     แต่ถ้าเป็น BAG ที่ราคาลงมามากๆ เหมือน BANPU ต่อให้ BAG ก็จะไปไม่แรง เพราะจะโดนขายสวนจากคนที่ติด
 


    แต่ถ้าเป็น BAG Advanc เบรคแนวต้าน 5ปี ( SW มา 5ปี) ยังไงก็ต้องซื้อ


-Continuation / Runaway gap พบในขณะวิ่งขึ้นหรือลงแรง จะมี Vol Peak เป็นตัว Confirm เกิดจากมีการเปลี่ยนแปลง Information ใหม่ๆ เข้ามา

-Exhaustion gap พบเมื่อวิ่งมาไกล หลังมีการเปิด Gap ไปแล้วอย่างน้อย 2 gap วันที่เปิดกระโดด Vol Sell Peak แต่หลังจากวันนั้น Vol ค่อยๆ หายไปทุกวัน แปลว่า อีกไม่นานมันจะถอยลงมาแล้่วปิด Gap ซึ่งเป็นการแสดงสัญญาณกลับตัวหรือ ต้องขาย

-Island gap แสดงถึงการเปลี่ยนทิศทาง
   Island Top น่ากลัว แต่เกิดไม่บ่อย
   Island Bottom เกิดบ่อย





*ต้องดู Vol ว่า Bay / Sell ประกอบ
*การปิด Gap ต้องดู Body ถ้าหางแหย่ถือว่ายังไม่ปิด ต้องรอให้จบแท่ง สีอะไรก็ได้
*ปิด Gap เป็นสัญญาณเปลี่ยนทิศ
    - เปิด Gap ขาขึ้น แล้วลงมาปิด Gap เป็นสัญญาณเปลี่ยนเป็นลง
    - เปิด Gap ขาลง แล้วขึ้นมาปิด Gap เป็นสัญญาณเปลี่ยนเป็นขึ้น
*นักเทคนิคคอล ถ้าเห็น 2 Gap จะเริ่มระวัง ถ้า 3 Gap ต้องเฝ้า และยิ่งมีการไหลลงมาปิด Gap ต้องขาย
*ปกติ Gap 3, 4 จะเป็น Exhausting Gap

หุ้น IPO
    วันแรก ไม่ต้องไปแย่งซื้อกับเขา ให้เขาเล่นกันไป
       - ลบ  เลิก ไม่เล่น
       - บวก
          *โดยปกติ ถ้าเช้าลากขึ้น บ่ายจะย่อ
          * ถ้า Ceilling ก่อนเที่ยง บ่ายก็ไม่ถอย วันรุ่งขึ้นจะเปิดกระโดดขึ้น
      - ดูราคา High - Low
   วันที่ 2  ตามดูว่าราคาจะไปทางไหน ถ้า
     - ทำ Low ไม่เล่น
     - ทะลุ High เป็น BAG ตามเล่น
     - พักตัวใน High-Low วันแรก ตามดูวันต่อไป ว่าจะเลือกทางไหน

Cr Wave Rider

         



แท่งราคา VS Volume

แท่งราคา VS Volume



Weak  >> แท่งสั้น Vol.น้อย
     ราคาเปิด-ปิด ใกล้กันมาก ปริมาณซื้อขายน้อย แปลว่า มันไม่มีกำลัง สะท้อนอารมณ์ตลาดว่า ไม่มีคนสนใจ ซื้อก็ไม่วิ่ง แบบนี้เราไม่สนใจ

Fake  >> แท่งยาว Vol.น้อย
      ราคาเปิด-ปิด ห่างกันมาก ปริมาณซื้อขายน้อย แปลว่า Bid-Offer แต่ละช่องน้อยมาก โดยปกติคือเกิดความผิดปกติ ต้องเข้าไปดู เกิดการซื้อขาย Peak ช่วงเวลา่เดียวหรือเปล่า แล้วไม่มีการซื้อขายต่อ หรือมีการซื้อขายกันนอกตลาด Big Lot ซึ่งพวก Big Lot จะไม่แสดงในระหว่างวัน แต่จะมีการบันทึกกันหลังตลาดปิด
     แบบนี้ ภาษาเทรดเดร์ เรียกว่า จุดพุตเรียกแขก เราไม่สนใจ

Squat  >> แท่งสั้น Vol.มาก
      ราคาเปิด-ปิด ใกล้กันมาก ปริมาณซื้อขายมากๆ เปิดไปดูข้างใน อาจจะเจอ Buy 85% หรือ Sell 85% แต่ Vol มากกว่า 4-5 วันมหาศาล  แปลว่า เจ้าเก็บหรือปล่อยของ ต้องดู % buy-sell
   หุ้นทั้งหมดมี 100,000 หุ้น เรามี 60,000 และ
เราอยา่กขายราคานี้ ทำไง
       ขายทีละหมื่น เอา 5 หมื่นไปวาง Bid ช่องที่ 3-5 ลงอย่างไงก็ไม่ผ่าน ตอนขายก็หยอดขาย Offer 1 จากนั้นหาอะไรมา Support story พอปล่อยของครบ ก็ดึง Bid ออก ราคาก็ลง
อยากซื้อเพิ่ม ทำไงไม่ให้ราคามันขึ้น
       เอาของไปวางดักไว้ที่ Offer ไว้ข้างบน ไม่ให้มันขึ้น ซื้อครบ ก็ดึง Offer ออก ราคาก็ขึ้น

       ทำแบบนี้ กราฟจะโชว์ Squat และมันชอบโชว์ Squat ก่อนแล้วค่อยออกข่าว เช่น พวก ผบญ จะเอาปันผล ก็จะเก็บก่อน เพราะรู้ว่างบเสร็จแล้วแต่ไม่ยื่น เก็บของก่อน ครบแล้วยื่นงบ ประกาศปันผล

       ถ้าดูเป็น เห็นแบบนี้ ต้องเก็บด้วย
     
Trend  >> แท่งยาว Vol.มาก
       หลังจากเกิด Squat ต่อมาจะเกิด Trend พวกที่ทำก็คือ นลท รายย่อย แย่งกันซื้อ ตอนที่เขาทำข่าวเสร็จแล้ว หรือ นลท อยากได้ ซื้อๆๆๆๆ  ซึ่งตอนนี้มันจะเห็นเป็น Trend ซึ่ง นลท รายย่อยจะซื้อเพราะเห็น Trend

Volume
 - วันที่ Vol มาก และแท่งราคายาว กลายเป็น แนวต้าน-แนวรับ
 - Vol มาก และราคาวิ่งขึ้น/ลง อย่างเร็ว แสดงว่า ใกล้จบแล้ว
 - Vol เบา แต่ราคาขึ้นต่อ ระวังแรงขาย
 - Vol Divergent ใกล้เปลี่ยนทิศ
 - Vol Peak เกิน 10 เท่าของวันก่อนหน้า จะจบภายในวันนั้น หรือ 2 วันถัดไป

Cr Wave rider

Indicator type

Indicator type
1. Leading indicator
    Indicator จำพวกที่คำนวณเป็น % แสดงผลให้เราเห็นอนาคตอันใกล้ Indi จะขยับเร็วกว่าราคา เช่น RSI, Sto

2. Racking indicator
     Indicator จำพวกที่ใช้สูตรคำนวณเป็นค่าเฉลี่ย เช่น MAV, MACD (แต่เราสามารถปรับค่าให้เหมาะสมเพื่อให้เป็น Leading Indi )

3. Sentiment
    พวกที่แสดงเป็นพวก Volume เช่น Volume, OBV หรือปริมาณการซื้อขาย ณ เวลานั้นๆ

การใช้ Indi ต้องอย่าเยอะ มีอย่างละตัวต่อกลุ่มก็พอ เช่น มี RSI แล้ว ก็ไม่ต้องมี STO

Time Frame
                             Big         Mid         Minor
Day trade              Day      30 min         3 min
Short term           Week      Day           30 min
Medium              Week      Day         120/60 min
Long term           Month    Week            Day

Bid-Offer
- ซื้อช่อง Offer เรียกว่า Buy
- ตั้งรอซื้อช่อง Bid เรียกว่า Sell

อาการที่มีคนซื้อช่อง Offer เยอะๆ คือ อาการที่คนกลัวว่าจะไม่ได้ของ โดยปกติ เม่า จะตั้งรอที่ Bid (sell) ดังนั้นคนที่ซื้อ Buy เลย คือ คนที่มีเงินเยอะ ซื้อแพงได้ (รายใหญ่, กองทุน, สถาบัน)

%Buy ใน 1 วัน
>70% ซื้อเยอะมาก
>65%  มีนัยยะ ถือว่าซื้อเยอะ
40-65%  กลางๆ แรงซื้อขายพอๆ กัน

แต่ถ้าซื้อเยอะๆ 3-5 วัน เช่น 60, 70, 80 เดี๋ยวจะมีการขายทำกำไรออกมา โดยรายย่อย

Cr Wave rider

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Fibonacci Tip

มีพี่นักลงทุนท่านถามมาเห็นว่าน่าจะพอสร้างไอเดียให้พี่ๆหลายๆท่านที่ยังไม่เข้าใจในตัว Fibonacci ทั้ง Projections และ Retracement วันนี้เลยของรวบยอดตอบในนี้เลยครับ
Projections ไว้หาเป้าหมายโดยพิจารณาจาก Golden Ratio นั่นคือ 61.8% เป็นเป้าหมายระยะสั้น 100% เป็นเป้าหมายระยะกลาง 161.8% เป็นเป้าหมายระยะยาว ระยะเวลาของราคานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับวันเวลาครับ แต่ขึ้นอยู่กับ Action ของหุ้นแต่ละตัวดังนั้น เป้าหมายระยะยาวอย่าง 161.8% จึงไม่ได้หมายความว่าอีก 10 ปีมันจะไปถึง ในบางกรณีมันอาจใช้เวลาเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้นเองครับ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกำหนดระยะว่าจะขายตรงไหนดี สำหรับผมนั้นเมื่อราคา Break Dow Theory ไปได้แล้วตรงนั้นจะเป็นจุดที่เราสามารถวัด Fibonacci Projections ได้แล้วครับ
ในที่นี้ผมทำหุ้น PTT มาให้ดูกันโดยผมวัดจากรอบของกรอบ Dow Theory จะเห็นได้ว่าทฤษฎี Dow Theory นั้นจะมีความสัมพันธ์กับทุกๆสิ่งเพราะมันคือเรื่องของ Trend หุ้นจะขึ้นได้มันต้องมี Trend และ Trend นั่นก็คือ Dow Theory ครับ โดยในที่นี้ผมวัดจากรอบของ Dow Theory ขนาด Major ซึ่งจะมีลักษณะของคลื่นขาขึ้นที่ใหญ่กว่าเพื่อวัดเป้าหมายในระดับ Major trend การวัด Projections นั้นวัดจากราคาปิดไม่ใช้หางของราคาใดๆทั้งนั้นครับ รวมถึงการวัดด้วย Retracement ก็เช่นเดียวกันก็ใช้ราคาปิดในการวัดเสมอครับ จะเห็นได้ว่าเป้าหมายในการวัดนั้นที่ผมให้ความสำคัญคือ 100% และ 161.8% เมื่อราคาสามารถผ่าน 100% ขึ้นไปได้ตรงนี้ผมจะเริ่มใช้การยกจุด Stop เพื่อตามราคาไปเสมอ หากราคาหลุดจุด Stop ได้เมื่อใดผมก็จะขายทำกำไรครับ ดังนั้นการที่ผมใช้ Projections วัดราคาก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อราคาถึงบริเวณนั้นๆแล้วผมต้องขายทำกำไร ผมจะไม่ขายจนกว่าราคาจะหลุด Stop ได้ครับ


Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและพิจารณากรอบของการปรับตัวลง โดยปกติการปรับตัวลงของราคาของคลื่น 1 ลงมาคลื่น 2 ตามทฤษฎี Elliott wave จะปรับตัวลงลึกพอสมควรครับโดยจะมีการปรับตัวลง 61.8% หรือมากกว่านั้นแต่ราคาจะไม่ลงมาหลุด Low เดิมที่เคยทำไว้ ดังนั้นหากเกิดการปรับตัวลักษณะนี้และราคาได้เกิดการทำการ Bullish Divergence ลักษณะแบบนี้มีนัยว่าราคากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากขาลงที่ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 61.8% ของ Fibonacci Retracement เป็นการปรับตัวขึ้นแทนครับ ดังนั้นหากเห็นว่าราคาได้ลงมาต่ำกว่า 61.8 % ของ Fibonacci Retracement แล้วเราก็เพียงนั่งรอจังหวะและพิจารณา Momentum Divergence ว่าแสดงนัยยเปลี่ยนแปลงของ Trend หรือไม่ หากเกิด Bullish Divergence และราคาเกิดการ Reversal pattern ตามมา สัญญาณการเข้าซื้อของเราจะเกิดเมื่อราคาเกิดการสร้างของ Dow Theory ครับ เราไม่จำเป็นต้องรีบไปซื้อเลยในจังหวะตลาดรีบาวด์จากแรง Bullish Divergence และถึงแม้ราคาได้เกิดรูปแบบของ Reversal pattern เราก็ยังไม่จำเป็นต้องรีบซื้อเพราะการขึ้นที่สมบูรณ์ที่สุดคือการขึ้นแบบมีกรอบของ Dow Theory สนับสนุนครับ หากใครชอบเทรดแบบซื้อต่ำโดยใช้สัญญาณ Reversal pattern คุณก็ต้องเข้าออกไวเช่นกันครับและมันเหนื่อยกว่าการรอเล่นในจังหวะเกาะ Trend เสียด้วยซ้ำไป เพียงแค่รอให้เป็นคุณก็ได้กำไรแล้วครับ ทั้งรอซื้อและรอขาย จะลงทุนแนวไหนก็แล้วแต่คุณต้อง Wait&See ให้เป็น
หลายวันผ่านมานี้ตลาดหุ้นไม่ได้มีสัญญาณอะไรเลวร้ายเป็นพิเศษเลย นอกจากหุ้นรายๆตัวที่อาจเกิดการปรับตัวลงบ้างซึ่งต้องใช้การพิจารณาเป็นรายๆตัวไป แต่หากมองสัญญาณของตลาดโดยรวมแล้วทรงก็ยังไม่เสียหายใดๆ และก็ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้อีกครับ มองแนวต้าน index ที่ 1615 แนวรับ 1592/1581 ครับ

Cr. facebook : 
Niik Agapol Chamnanpanich






วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สัญญาณกราฟแท่งเทียน

สัญญาณกราฟแท่งเทียน เพื่อหาจุดกลับตัวของราคา วันนี้มาดู การหาจุดกลับตัวของแนวโน้มโดยใช้กราฟแท่งเท

สัญญาณกราฟแท่งเทียน เพื่อหาจุดกลับตัวของราคา


วันนี้มาดู การหาจุดกลับตัวของแนวโน้มโดยใช้กราฟแท่งเทียน


ถาม : ทำไมต้องศึกษารูปแบบพวกนี้

ตอบ : เพราะราคา มักจะมีรูปแบบเฉพาะตัว ที่มักจะมี รูปแบบของแท่งเทียน บอกให้เรารู้ว่า ราคาต่อไปจะเป็นอย่างไร สรุปคือ รูปแบบพวกนี้ มีการเก็บสถิติ ว่า มีการเกิดขึ้นบ่อยๆ และมีการเก็บสถิติต่อว่า เมื่อเกิดรูปแบบที่ว่าแล้ว ราคามันจะเป็นอย่างไรต่อไป



กร๊าฟแทงเทียนโดยทั่วไปจะมี อยู่ 2 สี ที่ต่างกัน คือ เขียว กับ แดง (แต่ปรกติตัวโปรแกรมสามารถตั้งเป็นสีอะไรก็ได้) อย่างที่บอก กร๊าฟแทงเทียน 1 แทง คือการต่อสู้กันของพลังซื้อ กับพลังขาย หากกร๊าฟ นั้นเป็นสีแดง นั้นคือ ในแท่งนั้น พลังขายชนะ หาก เป็นสีเขียว นั้นคือ พลังซื้อชนะ

ส่วนที่เป็นบริเวณไส้เทียน นั้นคือ จุดสูงสุด หรือสุดต่ำสุด ที่พลังทั้ง 2 สู้กัน






แต่ถ้าหากว่ากร๊าฟแท่งเทียน ไม่มีตัว นั้นหมายถึง ราคาปิด กับราคาเปิด เป็นจุดเดียวกัน หรือพูดง่ายๆก็คือ พลังซื้อ กับ พลังขาย มันมีพลังพอๆกัน ในช่วงแท่งเทียนนนั้น




สำหรับเจ้าโดจิป้ายศพ ตามรูปข่างล่าง หากเกิดขึ้นที่ยอดของราคาหุ้น มันก็ตามความหมายเลย ต้องรีบขายซะ





...........................

ทีนี้มาดูกร๊าฟแท่งเทียนรูปแบบค้อนกันบ้าง ตามรูปข้างล่าง จะแดงหรือ เขียวก็ได้ โดยจะต้อมมีตัวอยู่ข้างบน ไส้เทียนด้านบน อาจจะมี แต่ต้องสั้นมาก และใส้เทียนข้างล่างจะต้อง ยาวกว่า ตัว 2-3 เท่า




.................................


เรียกว่ารูปแบบค้อน หรือ แฮมเมอร์ รูปแบบนี้แสดงให้เห็นว่า มีโอกาสถึงจุดกลับตัวค่อนข้างสูง นั้นคิอ ราคามันจะขึ้น







.....................................

อีกรูปแบบเรียกว่า คนแขวนคอ ความหมายก็น่ากลัวตามชื่อนั้นแหละ นั้นคือ หากแท่งเทียนแท่งต่อไป ราคาต่ำกว่า แท่งเทียนคนแขวนคอ มีโอกาสที่จุดนี้จะเป็นจุดกลับตัว




........................................

ตัวอย่าง จะเห็นในรูปที่ ที่จุดที่ 1 นั้น มีการกลับตัว แต่สัญญานยังไม่ชัดเท่าอันที่ 2 เพราะ จะเห็นว่า จุดที่ 2 นั้น หางมีความยาวกว่าตัวมาก สัญญาณ จึงชัดกว่า



ต่อไปเป็นรูปแบบ ที่เรียกว่า รูปแบบ กลื่นกิน หรือ Engulfing Pattern

มีข้อแม้ว่า

1. ตลาดต้องมีแนวโน้มที่ชัดเจนอยู่แล้วก่อนหน้านั้น เช่น ขึ้นก็ขึ้นเอาๆ หรือลงก็ลงเอาๆ

2. ตัวแท่งเทียน ที่ 2 ต้องคอบคุม ตัวแท่งเทียนแรกทั้งหมด ยิ่งคุมมากสัญญาณก็ยิ่งชัด (แต่ไม่จำเป็นต้องคอบคุมใส้เทียนทั้งมด)

3. แท่งเทียนที่ 2 จะต้องมีสีต้องกันข้ามกับแท่งเทียนอันแรก

รูปแบบ ตามรูปข้างล่าง หากเจอรูปแบบนี้ มีโอกาส เปลี่ยนเทรนสูง

เช่นข้างล่าง ราคาลงอยู่ดีๆ อยู่ๆก็เจอแท่งเทียนสีแดง ที่มีพลังขายชนะพลังซื้อ เมื่อถึงเวลานี้ ตลาดก็เริ่มงงว่าจะเอายังไงกันแน่ จะขึ้นหรือจะลง พอเจอแท่งเทียนที่ 2 แท่งเทียนแท่งที่ 2 นี้ พลังซื้อ กับพลังขาย ต่อสู้กันอย่างรุนแรง จนสุดท้าย พลังซื้อชนะ ราคาของกร๊าฟ ก็เลยได้เทรนใหม่ กลายเป็นเทรนขึ้นไปเลย เพราะพฤติกรรมของราคา ประมาณว่า แห่กันไป ใครตกเทรนก็ซวยไป ประมาณนั้น




ส่วนรูปข้างล่างก็แนวๆเดียวกัน ก็ประมาณว่า ราคาขึ้นอยู่ดีๆ อยู่ๆเจอแท่งเทียนที่พลังซื้อชนะพลังขาย จากนั้น ตลาดก็เริ่มงงว่า จะเอายังไงแน่ พอเจอแท่งที่ 2 เข้าไป ก็เลยได้ข้อสรุปว่า งั้นก็ลงกันสิฟ๊ะ ก็เลยแห่กันตามไป และเหมือนเดิม ใครตกเทรน ก็ซวยไป






.............................

มาดูตัวอย่างในราคาหุ้นของ vannachai group ในกรอบสี่เหลี่ยม จากราคาขึ้นอยู่ดีๆ เจอรูปแบบ กลื่นกินเข้าไป เปลี่ยนเทรนเลย




..........................












มาในรูปแบบต่อไป เรียกว่า เมฆดำปกคลุม (Dark Cloud Cover)

รูปแบบนี้ดูเหมือนจะคล้ายๆ รูปแบบ "กลื่นกิน" อยู่เหมือนกัน ประมาณว่า กร๊าฟขึ้นอยู่ดีๆ แล้วก็มาเจอแท่งเทียนที่ 2 (เป็นแท่งสีแดง) และจุดเปิดของแท่งสีแดง ดันสูงกว่าจุดปิดของแท่งสีเขียว (หากว่าสูงกว่าใส้เทียนสูงสุดของแท่งสีแดง จะเป็นการยืนยันสัญญาณที่ชัดเจน)

ที่ที่สำคัญ จุดปิดของแท่งสีแดง ต้องต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นส์ ของแท่งสีเขียว






ส่วนรูปแบบกลับกันเรียกว่า รูปแบบ "ทิ่มแทง" Piercing คือประมาณว่า ราคาลงอยู่ดีๆ อยู่ๆ ก็เจอแท่งสีแดงแท่งแรก แล้วมีแทงสีเขียวตามมา แบบนี้มีข้อแม้ว่า

1.ราคาปิดแท่งแดง ต้องสูงกว่า ราคา เปิดแท่งเขียว

2.ราคาปิดแท่งเขียว ต้องเกิน 50 เปอร์เซนส์ของตัวของแท่งเทียนสีแดง ยิ่งเกินเยอะสัญญาณยิ่งชัด




มาดูตัวอย่างของกร๊าฟ SET มีทั้ง 2แบบ




รูปแบบต่อไป เป็นรูปแบบที่ต่อเนื่องกับ เมฆดำปกคลุม และ ทิ่มแทง แต่ต่างกันที่ แท่งสีเขียว ไม่สามารถผ่าทะลุ 50 เปอร์เซ็นของตัวแท่งสีแดงไปได้ นั้น หมายความว่า แนวโน้ม ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง (ยังไม่ใช่รูปแบบ การกลับตัว)

มีรูปแบบเช่น

1. On neck

2. In neck

3. Thrusing Pattern




รูปข้างล่างนี้แสดงให้เห็นว่า แท่งสีเขียว ไม่สามารถทะลุ 50 เปอร์เซ็นส์ของแท่งสีแดงไปได้ จึงไม่ใช่จุดกลับตัว







............................

รูปแบบต่อไปเรียกว่า "รูปแบบดาวตก" shooting star

รูปแบบนี้พบบ่อย แท่งเทียนจะเป็นสีอะไรก็ได้ แต่ที่สำคัญจะต้องมี Gap นั้นคือ การเปิดตัวกระโดดขึ้นไป หาง (ไส้เทียนจะต้องยาว ยิ่งยาวยิ่งดี) และ หากแท่งเทียนแท่งต่อไป ลง นั้นคือสัญญาณที่ชัดเจน







รูปแบบต่อไป เป็นรูปแบบ ที่ตรงกันข้ามกับ ดาวตก นั่นคือ "รูปแบบฆ้อนกลับหัว" หรือ Invert Hammer

รูปแบบนี้ตัวแท่งเทียน จะสีอะไรก็ได้ แต่ที่สำคัญต้องมี Gap อีกเช่นกัน และ แท่งเทียนต่อไป หากมีการปิดที่ ราคาสูงขึ้น นั่นเป็นการยืนยันสัญญาณ




ดูตัวอย่างร๊าฟราคาของ CPF ดูที่ราคาปิดของแท่งเทียนก่อนหน้า กับราคา เปิดของแท่งเทียนสีเขียว มันไม่ใช่ต่ำแหน่งเดียวกัน และมีแท่งสีแดงหลังจากนั้น ราคาต่ำลง(เพราะเป็นแท่งสีแดงนิ พลังขายชนะพลังซื้อ) เป็นการยืนยันสัญญาณว่า ราคามันจะลง







...........................

รูปแบบต่อไปเรียกว่า รูปแบบ "คนมีท้อง" หรือ Harami Pattern

แท่งเทียนจะสีอะไรก็ได้ แต่ว่า แท่งที่ 2 จะต้องเล็กกว่าแท่งแรก รูปแบบนี้จะตรงกันข้ามกับ รูปแบบกลื่นกิน

ส่วน แท่งที่ 3 ถ้าขึ้น หรือลง นั่นเป็นตัวยืนยันสัญญาณ ทำไมถึงเรียกว่า คนมีท้อง ก็ดูดีๆ ว่า แท่งแรก เขาว่ามันเหมือนคน ส่วนแทงที่ 2 เขาว่า มันเหมือนท้อง เลยเป็นคนอุ้มท้องไปซะเลย ช่างคิดจริงๆ ฮ่าๆ






นี้เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นที่ SET ลงดูในกรอบสี่เหลี่ยม จะพบว่า เกิดรูปแบบ คนมีท้อง จากนั้น แท่งที่ 3 เป็นการยืนยันว่า การขึ้นมันจบแล้วนะ








....................................


รูปแบบต่อไปเรียกว่า ฮารามิกากบาท หรือ Harami Cross คือเหมือนกับคนมีท้องนั่นแหละ แต่จะให้สัญญาณที่แรงกว่า เพราะตัวกากบาท หรือที่เราเรียกว่า ตัว โดจิ เป็นการสู้กันของ ราคาซื้อ และราคาขาย แบบว่าเสมอกัน กินกันไม่ลง แต่ตัวแปล นั้น กลับอยู่ที่ แท่งเทียนที่ 3 ว่าจะขึ้นหรือลง ดัง้นั้นแท่งที่ 3 เป็นตัวยืนยันสัญญาณ ดั้งนั้น แท่งที่ 3จึงสำคัญมาก

ปล. แท่งเทียนยิ่งสแกลใหญ่ ยิ่งมีความแมนย่ำสูง เช่น แท่งเทียน 1 วัน แมนย่ำ กว่าแท่งเทียน 1นาที





มาดูตัวอย่างใน SET ในรูปสีแหลี่ยม จะเห็น Harami Cross จากนั้นมันก็จะปรับตัวขึ้นเลย แท่งที่ 3 สำคัญมาก


ต่อไปเป็นรูปแบบ Tweezer Top กับ Tweezer Bottorn หรือ บางคนก็อาจจะเรียกว่า Double Top กับ Double Bottorn รูปแบบ นี้เป็นการผสมผสานกับ ลักษณะสัญญาณข้างบน เช่น Harami Cross , Harami Pattern , shooting star ฯลฯ

แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งก็คือ ในส่วนของ Double Top ราคาสูงสุดจะเท่ากัน และ Double Bottorn ราคาต่ำสุดจะเท่ากัน รูปแบบนี้ จะเป็นการเพิ่มสัญญาณความแรง เป็นการยืนยันสัญญาณที่แรงกว่าว่างั้นแหละ





...........................
รูปแบบต่อไปเรียกว่า เข็มขัดกระทิง หรือ Bullish Belt Hold และรูปแบบตรงกันข้ามคือ เข็มขัดหมี หรือ Bearish Belt Hold รูปแบบนี้ดูเหมือนจะคล้ายๆ แฮมเมอร์ กับคนแขวนคอ


^
^
รูปแบบ แฮมเมอร์ กับคนแขวนคอ



แต่มันจะต่างกันที่ แฮมเมอร์ กับคนแขวนคอ มันสีอะไรก็ได้ แต่รูปแบบ เข็มขัด ตามสีในรูปข้างล่าง และที่สำคัญ รูปแบบเข็มขัด ตัวจะยาวกว่าหาง





ตัวอย่างรูปแบบกระทิงในรูปข้างล่าง









.......................

รูปแบบต่อไปเรียกว่า อีกา 2 ตัวบนช่องว่าง (Upside Gap Two Crows)

อีกาเป็นความโชคร้ายของญี่ปุ่น

คือในรูปข้างล่าง เราจะต้องมี Gap คือ ราคาเปิดกระโดดสูงขึ้นไป แต่สุดท้าย กลับปิดในแรงบวกไม่ได้ (อีกาตัวแรง) จากนั้น ตลาดก็เริ่มงง ว่าจะเอายังไงดี ก้มาเจอ อีกาตัวที่ 2 พอเจออีกาตัวที่ 2 คราวนี้ชัดเลย แท่งที่ 3 (ยืนยันสัญญาณ) ก็เริ่มลง

จะเห็นว่า มันคล้ายๆ Harami (คนมีท้อง)เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ อันนี้มันมี Gap และคนมีท้อง ท้องจะอยู่ด้านขวา





อีกตัวจะเรียกว่า อีกา 3 ตัว (Three Black Crows) อีกามากัน 3 ตัวเลย แบบนี้ ไม่ต้องมี Gap ก็ใช้ได้ แต่ อีกา 3 ตัวนั้น ต้องราคาต่ำลงเรื่อยๆ




ตัวอย่าง







.........................


รูปแบบต่อไป ผู้เขียนเรียกง่ายๆว่า "กระทิงโต้กลับ" แต่ชื่อจริงๆคือ เส้นทางการตีโต้กลับกระทิง (ชื่อยาวจริงๆ) หรือ Bullish Counterattack Line


ข้อแม้คือ

1.แท่งเทียนแท่งแรกต้องเป็นสีแดง

2.แท่งเทียนที่ 2 ต้องเป็นสีเขียว

3.แท่งเทียนสีเขียว พอเปิดแล้ว ราคาต่ำลงมา พอถึงจุดหนึ่ง กลับตีโต้ราคาขึ้นไป จนไปปิด ที่ราคาเท่ากับราคาปิดของแท่งสีแดง ประมาณว่า สีเขียวตีโต้สีแดง




ต่อไปเป็นรูปแบบที่ตรงกันข้าม ผู้เขียนขอเรียกง่ายๆว่า "หมีโต้กลับ" แต่ชื่อเต็มๆคือ เส้นทางการโต้กลับหมี หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ Bearish Counterattack Line

มีข้อแม้คือ

1. แท่งเทียนอันแรกต้องเป็นสีเขียว

2. แท่งเทียนแท่งที่ 2 เป็น สีแดง

3. ประมาณว่า แท่งเทียนแรก สีเขียว ราคากำลังขึ้นอยู่ดีๆ พอแท่งที่ 2 ก็ยังขึ้นอยู่ พอถึงจุดสูงสุดของราคา กลับโดนโต้ด้วย หมี (สัญญาณขาย)จนกลับมาปิดที่ จุดเริ่ม พอแท่งที่ 3 ราคาก็ลงต่อ เป็นการยืนยันสัญญาณลงเข้าไปอีก





ตัวอย่าง





................................

รูปแบบต่อไป เรียกว่า ยอดหอคอย หรือ Tower Top

รูปแบบนี้ถือว่าเป็นรูปแบบ "ผสม" ดังนั้น จึงค่อนข้างอธิบายในเชิงวิชาการยากนิดหน่อย แต่สามารถ อธิบายภาษาชาวบ้าน ประมาณว่า

ราคา ขึ้นมาสักพัก ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเริ่มหมดแรง และลงนิดหน่อย (ในแท่งที่ 3) จะนั้นตลาด เริ่มงง ว่าจะเอายังไงต่อ ก็ได้คำตอบว่า ขึ้นอีกสักนิดน่า จนสุดท้าย ความเชื่อที่ว่า ราคาจะขึ้นต่อ ได้หมดลงไป จนเจอ แท่งสีแดง ขนาดใหญ่ เป็นการยืนยันการกลับตัว ได้เยืยมเลย ยิ่งแท่งที่ 7 เป็นการยืนยันอย่างดี




รูปแบบข้างล่าง เป็นรูปแบบ ตรงกันข้ามกับรูปแบบ ยอดหอคอย เรียกว่า ฐานหอคอย หรือ Tower Bottorn



รูปตัวอย่างจาก SET ประมาณว่า เจอแท่งที่มีการปรับตัวแคบๆ ก่อนที่จะมีแท่งที่ สีตรงกันข้าม






..........................

แท่งเทียนในรูปแบบต่อไป เรียกว่า Evening Star หรือ ดาววีนัส

ข้อแม้คือ

1.จะต้องมี Gap

2. แท่งที่เป็นดาว สีอะไรก็ได้ แต่ตัวของมันต้องสั้นๆในรูปแบบดาว และไส้ของมันต้องสั้นๆด้วย (แท่งที่ 2)

3. แท่งเทียน 2 ข้าง ต้องเป็นสีที่อยู่ในรูป (บังคับ)

4. ต้องมี 3แท่งจึงจะครบองค์ประกอบ




รูปแบบตรงกั้นข้ามคือ Moming Star หรือ ดาวเมอคิวรี่


หลักการก็คล้ายๆกับ ดาววีนัส แต่ตรงกันข้ามเท่านั้นเอง




ตัวอย่าง







รูปแบบที่ใกล้เคียงคือ Evening Doji Star หรือ ดาววีนัสโดจิ เป็นรูปแบบที่เหมือนดาววีนัสทุกอย่าง แต่จะให้สัญญาณที่แรงกว่า






รูปแบบที่ใกล้เคียงอีกอันเรียกว่า Moming Doji Star ลักษณะก็เหมือนกับ ดาวเมอคิวรี่ แต่จะให้สัญญาณที่แรงกว่า






จบตอนแล้ว ความรู้คืออำนาจ หากศึกษา ก็จะสามารถพึ่งพาตัวเองได้

Cr. Bloggang เดินตามรอย วอร์เรน บัฟเฟตต์